สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ว่า นอกเหนือจากอุณหภูมิที่สูงเกือบ 40 องศาเซลเซียส หรือมากกว่า ตั้งแต่ในกรุงปารีส ไปจนถึงกรุงลอนดอน นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจากกลุ่มเครือข่ายความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศนานาชาติ (ดับเบิลยูดับเบิลยูเอ) ยังพบว่า อุณหภูมิที่สูงเช่นนี้ “แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย” หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
ในอดีต คลื่นความร้อนเมื่อปี 2546 ทำให้ผู้เสียชีวิตเกินปกติมากกว่า 70,000 รายทั่วยุโรป โดยส่วนใหญ่อยู่ในฝรั่งเศส และส่งผลให้หลายประเทศประกาศใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น ระบบเตือนภัยล่วงหน้า, การร้องขอให้ประชาชนตรวจสอบผู้อื่น และการเปิดโรงเรียนปรับอากาศ
Summer heatwaves in France, Germany, Spain and Britain led to more than 20,000 "excess" deaths, a report compiling official figures said on Thursday. https://t.co/sKGQdTzIO2
— Reuters Science News (@ReutersScience) November 25, 2022
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้และแผนดำเนินการที่เกี่ยวข้องกัน อาจบรรเทาผลกระทบของคลื่นความร้อนในปีนี้ได้บางส่วน แต่นางโคลเอ บริมิคอมเบ นักวิจัยคลื่นความร้อนจากมหาวิทยาลัยกราซ ในออสเตรีย กล่าวว่า ยอดผู้เสียชีวิตยังคง “สูงกว่าที่คาดไว้” และมองว่ามันเป็นคลื่นความร้อนที่มีผลกระทบมากที่สุด นับตั้งแต่ปี 2546 อีกด้วย
Southern Europe burnt with wildfires as a heatwave sent temperatures soaring through the continent, while Britain headed for its highest temperature on record https://t.co/MJ8sT8O1Sd pic.twitter.com/MGHttpJIZn
— Reuters (@Reuters) July 19, 2022
เนื่องจากทางการของประเทศต่าง ๆ ไม่ได้ ระบุสาเหตุของการเสียชีวิตส่วนมากว่า “เกิดจากความร้อนโดยตรง” นักสถิติจึงใช้ตัวเลขที่เกินมาเหล่านี้ในการประมาณการ โดยดูว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงเวลาที่กำหนดมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับข้อมูลพื้นฐานในอดีต
ด้านองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ดับเบิลยูเอ็มโอ) ทบวงการชำนัญพิเศษด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุในเดือนนี้ว่า ยุโรปร้อนขึ้นมากกว่า 2 เท่าของพื้นที่อื่นทั่วโลก ในช่วงกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ขณะที่ “โคเปอร์นิคัส ไคลเมต เชนจ์ เซอร์วิส” (ซี3เอส) ซึ่งเป็นสำนักงานบริการเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของสหภาพยุโรป (อียู) กล่าวว่า ช่วงฤดูร้อนของปีนี้ ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์.
เครดิตภาพ : REUTERS