หากพูดชื่อนางเอกคุณภาพระดับแถวหน้าของวงการ หนึ่งในนั้นมี แอน ทองประสม ที่ครองตำแหน่ง “เจ้าหญิงวงการบันเทิง” มาอย่างยาวนาน และตลอด 30 ปีในวงการบันเทิง เธอมีผลงานที่การันตีฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งฐานะของผู้จัดและนักแสดง และล่าสุดเธอขอออกนอกกรอบอีกครั้งกับการแสดงคอมเมดี้ที่ตลกโบ๊ะบ๊ะที่สุดในชีวิต อย่าง “บัวผัน ฟันยับ” ของ เอ็ม พิคเจอร์ส ผลงานการกำกับโดย ตุ๋ย-พฤกษ์ เอมะรุจิ โดยมี ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ มารับหน้าที่ Executive Producer ซึ่งเป็นอีกครั้งที่แอนประกบพระเอกรุ่นน้องสุดฮอต อย่าง กลัฟ-คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ งานนี้ “บันเทิงเดลินิวส์” จึงไม่พลาดพาแฟน ๆ มาพูดคุยกับเธอถึงบทบาทสุดท้าทายครั้งนี้ รวมทั้งเปิดมุมมองชีวิตทุกดราม่า ความเจ็บปวด และความสุข ที่แอนได้บอกเอาไว้ว่า “อะไรที่ฆ่าเราไม่ตาย มันก็ทำให้เข้มแข็งขึ้น” พร้อมทั้งเปิดหัวใจเรื่องรัก เอ-ทินพันธ์ ตันตินิรันดร์ ที่ยาวนานกว่า 21 ปี และไขคำตอบเคล็ดลับความหวาน และมุมมองชีวิตคู่ ของคู่รัก ที่ไม่ต้องการงานวิวาห์กัน

Q : ด้วยความที่บท “บัวผัน” เป็นอีกบทที่ไปสุดโต่งมาก อะไรทำให้ “แอน” ใจอ่อน อยากมาร่วมโปรเจคท์ภาพยนตร์เรื่องนี้?

แอน : แอนไม่เคยเล่นหนังตลก และเป็นค่ายพี่ยอร์ชด้วย อยากลองกล้ามเนื้อใหม่ ๆ ค่ะ เพราะว่าบทแบบนี้ มันห่างไกลตัวแอนพอสมควร

Q : “บัวผัน” มีแตกต่างจาก “แอน” มากที่สุดตรงไหน?

แอน : คือเหมือนมันมีความเป็นการ์ตูนนิดนึง และความเป็นผู้หญิงที่มีความแข็งแรง สตรอง ก๋ากั่น มีจุดยืนมีความเป็นนักรบ มีความเป็นนักต่อสู้ มีอุดมการณ์ที่อยากปกป้องหมู่บ้านของตัวเอง มันคิดใหญ่ เล่นใหญ่มาก ‘บัวผัน’ มันมีความเทียบเคียง อยากเท่าผู้ชาย แต่ด้วยความที่อยู่ในหมูบ้าน และไม่ได้ถูกยอมรับ ก็เลยเป็นกบฏของสังคมนิดนึง เลยเซตกลุ่มของตัวเองมา คือเป็นเพื่อน กลายเป็นถูกแยกตัวออกมา ไม่มีคนคบ กลายเป็นพลังงานที่เราไม่ค่อยคุ้นกับนิสัยอะไรแบบนี้ ก็จะเป็นของใหม่สำหรับเรา (ยิ้ม)

Q :มีอะไรที่เรารู้สึก Relate (รีเลท) กับตัวละคร “บัวผัน” จนเข้าใจตัวละครนี้?

แอน : อาจเป็นคนบ้าพลัง มีความบู๊ ๆ หน่อย ๆ เป็นคนแอคทีฟค่ะ และเป็นผู้หญิงสาวโสด ที่ไม่ได้แต่งงาน เป็นสาวใหญ่คนหนึ่ง ที่มันใกล้เคียงเรา

Q : การมารับบทครั้งนี้ มีอะไรที่ “แอน” โฟกัสเป็นพิเศษ หรือต้องทำการบ้านมากขึ้น เพื่อให้ถ่ายทอดความเป็น “บัวผัน” บ้างมั้ย?

แอน : ตอนแรกแอนก็คิดว่าต้องเล่นตลกแบบเยอะแยะ ตอนที่เราได้ยินสตอรี่ แต่ว่าพอเอาเข้าจริง ๆ เวลาบทมันออกมาแล้ว แอนกลายเป็นผู้หญิงที่เล่นเรียลิสติกส์ หมายถึงว่าเล่นปกติ แต่มันตลกโดยสถานการณ์มากกว่า ตลกที่ตัวแวดล้อมของเรา

Q : การเล่นบทคอมเมดี้ในภาพยนตร์ จังหวะมันแตกต่างจากละครยังไง ปรับตัวเยอะมั้ย?

แอน : ในภาพยนตร์มันจะมีจังหวะ มันเป็นสไตล์ของพี่ยอร์ช เฉพาะทางของเขา มันเป็นความเล่นจะว่าใหญ่ก็ใหญ่ แต่ว่ามันมีความต้องใช้คัต ในการตัดต่อช่วย มันถึงจะตลก การรับรีแอ๊ค เล็ก ๆ นิดเดียวมันก็ตลกแล้ว เป็นการทำหน้าอะไรแบบนี้มากกว่า มันเป็นร่องของคนที่ต้องเข้าใจอุณหภูมินั้นอยู่คนเดียว ถึงจะรู้ว่ารีแอ๊คอันนี้ตลก ซึ่งพี่ยอร์ชและพี่ตุ๋ย ผู้กำกับ เป็นคนที่มองเห็น ซึ่งมันเป็นศาสตร์ที่ละครไม่มีทางเหมือน ละครมันใช้พื้นที่ในการขยายโมเมนต์เยอะกว่า อันนี้สั้น ๆ กระชับ ๆ และไปเร็วกว่าค่ะ

Q :  “แอน” เป็นนักแสดงแถวหน้าที่เอาอยู่ทุกบทบาท อยากรู้ว่าการแสดงครั้งนี้ความท้าทายของบท “บัวผัน” นี้ สำหรับ “แอน” อยู่ที่ตรงไหน?

แอน : ถ้าเทียบประสบการณ์ในนักแสดงที่เขาแคสต์มา แอนและกลัฟน่าจะอ่อนแอสุด ประสบการณ์น้อยสุดในทางสายตลก เราไปแล้วเหมือนตัวลีบ ๆ เหมือนน้องใหม่ที่เล่นไม่เก่ง มันเป็นที่ใหม่ของเรา ส่วนการอิมโพรไวส์ก็มี แต่ส่วนใหญ่หนังเขาจะมีเวลาของเขา อย่างที่บอกว่าเขาต้องการจังหวะที่คม ๆ และถูกต้อง เพื่อเอาไปใช้งานเลย เพราะฉะนั้นก็จะมีจังหวะเลื้อยได้แค่นิดหน่อย ไม่ได้น้ำท่วมทุ่งมาก ส่วนการอิมโพรไวซ์ของเรา เขาก็ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้าง แล้วแต่ บางทีอิมโพรไวซ์ไป ไม่ใช่เขาก็ไม่เอา แต่ต้องห้ามเสียเซลฟ์นะ ต้องไปต่อ เราไม่ต้องนั่งเอาเป็นเอาตายกับสิ่งที่เราทำผิดพลาดไป เพราะว่างานหนังมันถ่ายทำเร็วมาก เหมือนเขาเข้าใจคัตกันเองแต่ในทีม และเราเป็นนักแสดงก็ไม่รู้หรอกว่าเขาไปทำอะไร เอาไปตัดอะไร

Q : ต้องมาเล่นกับ “กลัฟ” ซึ่งเป็นนักแสดงรุ่นน้องร่วมช่อง 3 ด้วย มีความประทับใจอะไรในตัว “กลัฟ” เล่าให้ฟังบ้าง?

แอน : กลัฟเป็นเด็กตั้งใจทำงานและอินพุตอะไรไป เขาก็จำเอาไปหมดเลย เป็นเด็กที่เปิดรับและไม่มีอีโก้ พูดน้อยแต่ว่าก็ฟัง ไม่วุ่นวาย ไม่น่ารำคาญ ไม่เป็นเด็กแอนนอยด์ (Annoyed) พอดิบพอดีไปหมดเลย อยู่กับพวกเรา ก็อยู่ได้ สบาย ๆ และรู้สึกว่าเขาจะอายุน้อยที่สุดในทีมด้วยซ้ำ แต่เขาก็อยู่กับพี่ ๆ ได้ค่ะ

Q : เห็นเสน่ห์ในตัวน้อง “กลัฟ” แบบนี้ อยากจีบเขาไปร่วมงานละคร ที่เราเป็นผู้จัดเลยรึเปล่า?

แอน : ก็แกล้งๆ แซวเขาเหมือนกัน บอกว่ามาเล่นละครให้พี่หน่อย เขาก็บอกว่า ‘ผมไม่ว่างครับ อีก 3 ปีข้างหน้า’ เขาก็ทำเล่นตัวเบา ๆ (หัวเราะ) ทำให้ดูยากอ่ะ ก็เป็นการแกล้งกันเฉย ๆ เขาคงรู้แอนทำเป็นหมาหยอกไก่ ถ้าเอาจริงก็ว่ามาแบบนี้มากกว่าเนอะ ซึ่งอนาคตก็มีโอกาส เพราะเขาก็เป็นเด็กช่อง ก็น่าจะมีโอกาสได้เจอกันค่ะ

Q :  เห็นว่าเป็นการกลับมาแสดงภาพยนตร์อีกครั้ง ในรอบ 20 ปี และยังเป็นบทที่ไม่ค่อยเห็น “แอน” เล่นมาก่อน มีความคาดหวังยังไง?

แอน : เรื่องประสบความสำเร็จเราก็อยากแหละ เพราะเล่นหนังก็ต้องอยากให้คนดูเยอะ ๆ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เราก็อยากให้หนังได้เงิน แต่ว่าเรื่องนี้แอนไม่ได้วัน แมน โชว์ ไม่ได้เป็นแอนคนเดียว ทุกอย่างมันไปทั้งโปรดักชั่น ทุกคนมีความสำคัญเฉลี่ยเท่ากันหมด เพียงแต่ว่ามันชื่อ ‘บัวผัน’ เท่านั้นเอง (ยิ้ม)

Q : แล้วอยากให้แฟน ๆ จดจำบทบาทนี้ “บัวผัน” ของเรายังไง?

แอน : ก็อยากให้เขาเห็นว่าเราทำได้ในอีกลีลานึง ในอีกกล้ามเนื้อนึงที่เราไม่เคยทำ ส่วนใหญ่แอนก็จะเป็นงานดราม่า งานละครรัก หนังรัก ซะส่วนใหญ่ กระโดดมาเป็นหนังตลกแบบการ์ตูนขนาดนี้ เราก็ไม่เคยทำด้วย

Q : เป็นอีกคนที่อยู่ในวงการนานกว่า 30 ปี คิดว่าอะไรที่ทำให้อยู่ในวงการนานขนาดนี้?

แอน : มันคงเป็นความรักในเนื้องานของเรา แพสชั่นเราก็ยังมี เราก็อยากจะสนุกสนานไปกับเจนใหม่ ๆ ที่เข้ามาผสมผสานกับเจนเรา เราก็อยากฟีเจอริ่งกับคนอื่นไปเรื่อย ๆ อยากคอลแลปส์กับเด็กคนนั้นคนนี้ มันเป็นน้ำใหม่ที่ถ่ายเทเข้ามาในอ่าวของเรา มันเลยเป็นการผสมผสานอะไรที่เรารู้สึกโลกมันน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ เราก็เลยมีแพสชั่นกันมัน มั้ง (ยิ้ม) ก็เลยไม่หยุดที่จะเดิน มันไม่รู้สึกว่างานตัวเองน่าเบื่อ

Q :  ตลอด 30 ปีในวงการบันเทิง อะไรคือสิ่งที่ “แอน” รู้สึกเป็นสิ่งที่ภูมิใจ เป็น Masterpiece ของชีวิตในวงการ?  

แอน : มาสเตอร์พีซ (Masterpiece) หลักก็คงเป็นเรื่องของผลลัพธ์งานของเราที่ออกมาเป็นชิ้นเป็นอันและประทับใจความรู้สึกคน หรือ ณ ตรงนั้นที่เราเล่น เราทำให้คนดูมีความสุขและติดเรางอมแงม (ยิ้ม) อันนี้รู้สึกเป็นมาสเตอร์พีซสำหรับเรา เป็นเป้าที่เราต้องการ อันนี้มันก็ฟินแล้วหนึ่ง ส่วนมาสเตอร์พีซอื่น ๆ มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ชีวิตระหว่างทางเดินมา ไม่เกี่ยวกับผลลัพธ์ทางความสำเร็จนะคะ ประสบการณ์ทางด้านความรู้สึก ความเจ็บปวด ได้เพื่อน เสียเพื่อน ได้คนทำงาน ได้ลองอะไรใหม่ ๆ อันนี้ถือว่าเป็นมาสเตอร์พีซ สำหรับแอนไปหมดอยู่แล้ว มันเป็นชิ้นความสำเร็จหรือชิ้นที่เราได้เรียนรู้ไปกับมัน มันทำให้เราได้เติบโตเป็นคน ๆ นึงที่อยู่กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้หลากหลายขึ้น แล้วในความเป็นนักแสดงหรือผู้จัด ก็ถูกต้องแล้วที่มนุษย์อย่างเราที่มีอาชีพอย่างนี้ ควรต้องเจอสถานการณ์ที่หลากหลายทางชีวิต เราจะได้มีไลบราลี่ (Library) ทางการแสดง ทางความคิดได้มากขึ้นและเป็นองค์ความรู้ของเรา ที่จะเอาไปใช้ย่อยการใส่บทบาทของเราในอนาคตได้ง่ายว่า ลิ้นชักความรู้ทางด้านความเจ็บปวดของเราไปได้ถึงตรงนี้ ลิ้นชักความรู้ในด้านของความรักแบบซับซ้อนมันเป็นอย่างนี้ ลิ้นชักความรู้ที่เราได้ไปเจอรีเลชั่นชิพอย่างอื่นที่เราไม่เคยเห็น แบบนี้มันมีอะไรหลายอย่างที่เรารู้สึกว่ามันเจ๋ง ที่เราได้เดินมาในอาชีพนี้แล้วมันเป็นคลังความรู้ไปหมดเลย แอนเลยรู้สึกว่าเราได้แต่สิ่งดี ๆ เข้าในชีวิต

Q : ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือร้าย เป็นวัตถุดิบและสิ่งดี ๆ ให้เราได้เสมอ?

แอน : ใช่ค่ะ แอนเชื่อว่าทุกสิ่งในชีวิตที่เกิดขึ้นกับเราเป็นเรื่องที่ดีเสมอ สมัยก่อนไม่นะ (ยิ้ม) ไม่ได้หลอกตัวเองนะ  เช่น แอนโดนยกเค้าขึ้นบ้าน ในแง่การสูญเสีย แน่นอนแอนเสียใจ เสียของ เสียเงิน เสียความรู้สึก แต่ว่าในทางที่ดีมันเหมือนแอนได้เกลี่ยหน้าดินตัวเองใหม่ เราต้องมองไปแบบนั้น มันเกิดขึ้นในชีวิตแล้ว และทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเราต้องระวังตัวให้มากขึ้น ต่อไปแอนก็อาจประมาทน้อยลง ต่อไปก็ทำให้แอนเซฟตัวเองมากขึ้นในโลกที่คนอยู่ยาก เชื่อใจกันยากขึ้น แอนก็จะได้สร้างโพรเทคชั่นให้ตัวเอง สร้างแบริเออร์ (Barrier) อะไรบางอย่างให้ตัวเองไว้ มันก็เหมือนเราต้องมีเกราะป้องกันตัว ก็เป็นเรื่องดี

Q : อย่างจากที่โดนคนใกล้ตัวขโมยทัพย์สิน มันทำให้ความเชื่อใจเราต่อคนใกล้ชิดลดน้อยลงไปมั้ย?

แอน : คือมันมีช่วงที่อาจทำให้รู้สึกแบบไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ก็มีนะคะ มันเหมือนภาวะคนที่ยังเป็นลองโควิด มันเป็นอาการที่ต่อเนื่องมา (หัวเราะ) เป็นลองโควิดก็คือ ยังไอ ยังเจ็บนั่นเจ็บนี่ ก็เหมือนกันเลย เราก็เดี๋ยว ไม่เอา เพราะมันไม่แฟร์กับคนที่เขาเดินมาอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่อาการเหล่านี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราเป็น ให้เวลาเราหน่อยเดี๋ยวมันก็หายไป มันมีค่ะ แต่ว่าแอนก็พยายามที่จะเอามันออกไป แต่อย่างที่บอกในแง่ดี ก็ทำให้แอนแบบไม่เลินเล่อ

Q :  บนเส้นทางชีวิตคนเราย่อมมีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว ยิ่งเป็นคนในวงการยิ่งถูกจับตามอง สำหรับ “แอน” เวลาเจอเรื่องไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่คิดไว้ รับมือกับมันยังไง?

แอน : มันต้องตั้งสติก่อนค่ะ แล้วก็ให้มันต่อแถวให้เรานิดนึง อย่ามาพร้อมกันนะ ไม่ไหว (หัวเราะ) เราต้องมีสติที่จะเรียงลำดับความสำคัญว่าอะไรอีเมอร์เจนซี่ (Emergency) ที่สุด เรื่องนี้ใกล้หัวใจสุด เลือดออกเยอะสุด เอาเรื่องนี้มาแก้ก่อน ที่เหลือที่ยังหายใจได้อยู่ ยังแผ่ว ๆ ได้อยู่ก็รอแป้บนึงค่ะ (ยิ้ม) แอนรู้สึกว่ามันก็มีแหละ แต่เราจัดการได้ จัดการไม่ได้ก็ถือว่าเป็นความล้มเหลวที่ต้องจดจำไว้ และต้องไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก เหมือนในละคร ‘คือเธอ’ ที่แอนให้นางเอกและพระเอกพูดว่า ‘อะไรที่ฆ่าเราไม่ตาย มันก็ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น’ คือเราก็จะมีปรัชญาที่เราคิดได้กันเองระหว่างที่ใช้ชีวิตของพวกทีมงานที่คิดบท เราก็สอดแทรกไปในลงละครด้วยเช่นกันค่ะ

Q : คอมเม้นต์หรือเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ ไม่สามารถทำร้ายเราได้อีกแล้ว?

แอน : มันทำร้ายได้ค่ะ มันเหมือนเราโดนเชือกฟาดมาที่แขน เราก็เจ็บ มันทำร้ายเรา เราเจ็บจริงและเราเลือดไหลด้วย มันทำร้ายได้แต่เราต้องรีบหาย และเราต้องพยายามไม่ให้มันมาใกล้ตัวเราที่สุด เราต้องมีความระวังตัว แค่นั้นเองค่ะ มันทำให้เราเจ็บ คือแอนปฏิเสธไม่ได้ว่าแอนไม่เจ็บปวดกับคำวิจารณ์หรืออะไรก็เหอะ มันเจ็บหมดอยู่แล้ว เราไม่ได้ทำเท่ห์ได้ขนาดนั้นหรอก แค่ว่าเราเอามันมาอยู่กับเรา จนกัดกร่อนความรู้สึก จนเราก้าวขาทำอย่างอื่นต่อไม่ได้ขนาดนั้นหรือเปล่า แอนรู้สึกว่าไม่ใช่ คนพวกนี้ไม่ใช่พระเจ้าที่จะมากำหนดชีวิตแอน มาตัดสินว่าฉันทำสิ่งนั้นไม่ได้ สิ่งนี้ไม่ได้ คุณไม่มาเป็นฉันคุณไม่มีทางรู้หรอก คนพวกนี้ไม่มีทางรู้จักตัวแอน แต่บางคนคำพูดคำวิจารณ์ของเขาในฐานะคนดูละคร และเขารู้สึกว่าตรงนี้ มันไม่ได้นะ เราก็จะฟังไว้ว่ามันก็ถูก อันนี้เราตีความทางละครผิด เราเสิร์ฟรสชาตินี้ไป เขาไม่ชอบ ก็ต้องจดจำ ก็ต้องแบ่งด้วยว่ามันเป็นเรื่องอะไร บางเรื่องเราก็ต้องยอมรับในความผิดพลาดของเรา

Q : เราไม่ได้เป็นคนที่มีอีโก้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว จึงไม่ฟังใคร?

แอน : ใช่ค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่าเรายังทำคอนเท้นต์เพื่อเสิร์ฟให้กับลูกค้าของเรา ให้คนดูของเรา เราไม่ได้ทำนั่งดูคนเดียว ถ้าทำแล้วนั่งดูคนเดียว ก็ไม่ต้องไปแคร์ความรู้สึกคนอื่นเลย เราก็มีลูกค้าของเรา เราได้เงินจากช่องมา ช่องก็เอาไปขายลูกค้าเรา และถ้าเขาพูดอะไรมา เราไม่ฟังเลยก็ไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนที่บริโภคของที่เราขายไป เหมือนแอนทำข้าวผัดหนึ่งจานแล้วเขามาซื้อ แล้วเขาด่าไม่อร่อยก็ต้องฟังมั้ย เพราะว่าเราขายเขานี่ ไม่ได้ให้เขา เราต้องฟังนิดนึงว่าเขาพูดอะไร แต่บางอย่างเช่น ในพื้นที่ส่วนตัวของเรา ในไอจี ฉันอยากทำสิ่งนี้ แต่อยู่ดี ๆ ก็เข้ามาด่า อันนี้คุณเกินล้ำเส้นแล้ว ก็บอกว่าอันนี้ไม่เกี่ยว มันเป็นความสุขของฉัน ใครจะวิพากษ์วิจารณ์เราก็ปล่อย ไม่ต้องไปยุ่ง แค่นั้นเอง

Q : เป็นอีกคนที่เป็นทั้งผู้จัดและนักแสดง และมา ณ วันนี้ ที่แอนได้รับการยอมรับทั้ง 2 บทบาทแล้ว ใน 2 หน้าที่นี้ ส่วนตัวคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จกับทั้ง 2 บทบาทหรือยัง?

แอน : ถ้าถามในฐานะนักแสดงแอนก็ได้คะแนนมาเยอะแล้วนะ สอบผ่านมาเยอะแล้ว แอนก็ว่าเดินมาไกลกว่าหลายคนมากแล้ว และคนก็ปรบมือให้แอน ยังดูละครแอน ยังมีแฟนคลับของแอน แอนว่าได้แหละ แต่ในฐานะผู้จัดก็ถือว่ายังเป็นน้องใหม่อยู่ แต่ก็ได้รับการอ้าแขนรับในระดับที่กำลังดี ยังไม่ถึงขั้นแบบเป็นตำนาน ฝีมือแอนยังไม่เสถียร เหมือน พี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) หรือเหมือน พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) แอนยังไม่ถึงเบอร์นั้น เพราะแอนเพิ่งเริ่ม ก็ไม่รู้ว่าได้เพราะความลัคกี้รึเปล่าหรือว่าเพราะฝีมือ ยังกำกวม (หัวเราะ) เราก็ต้องประเมินตัวเองเหมือนกัน

Q :  การเป็นผู้จัดกับการเป็นนักแสดง สำหรับ “แอน” แตกต่างกันยังไง?

แอน : มันคนละแบบค่ะ นักแสดงมันจะเหนื่อยแบบไปเล่นบาสเกตบอล เล่นเสร็จ จบเกม เราเหนื่อย เสียเหงื่อแต่เราฟิน จบเกมมันฟิน (ยิ้ม) แต่ว่าการเป็นผู้จัด มันจะเป็นเหมือนการแก้ปัญหา รับเหมาก่อสร้าง และต้องสร้างบ้านไปเรื่อย ๆ วันนี้บ้านมีปัญหา ผู้รับเหมาทำไม่ดี เราต้องรับผิดชอบ (หัวเราะ) มันก็เป็นงานการจัดการที่ปวดหัวอย่างหนึ่ง แต่มันดันมีศิลปะอยู่ตรงนั้นด้วย มันก็ทำให้ยากเข้าไปใหญ่เลย สมมุติแอนทำอาชีพผลิตปลากระป๋อง ปั๊ม ๆ มา ไม่ว่าจะเป็นปีนี้หรือปีหน้า แอนก็มีหน้าที่ปั๊มแล้วแค่ดูเรื่องโรงงาน ว่าปั๊มให้ถูกสุขลักษณะในแบบที่เราต้องปั๊มออกมา แค่นั้นพอ แต่งานศิลปะ งานละคร มันต้องใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสิน และคนเราในการรับอารมณ์แต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน (ยิ้ม) เพราะฉะนั้นงานของเรามันจะขึ้นอยู่กับความรู้สึกค่อนข้างเยอะ มันเลยจะแกว่งและเป็นไบโพลาร์กว่าอาชีพขายปลากระป๋อง (ยิ้ม) เราก็ต้องจิตแข็งในการที่จะเสิร์ฟคนหรือรับรู้ หรือในการที่จะนำเสนออะไร เราจะไปเจ็บปวดกับทุกคำด่าทอ ทุกคอมเมนต์ ทุกความรู้สึกที่ทุกคนให้เรามาไม่ได้

Q : การทำละครยุคนี้ยากรึเปล่า เพราะเดี๋ยวนี้คนมีความ Educate (เอดดูเขต) และ Sensitive (เซ้นซิทีฟ) กันมากขึ้น?

แอน : เรื่องเอดดุเขตนั้นยากจริง และต้องตามให้ทันด้วย ต้องปรับตัว แอนก็ยังไม่รู้ว่าแอนเอดดูเขตได้ทันคนดูหรือเปล่า (หัวเราะ) ยอมรับว่ามันยาก และยากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย มันก็เป็นงานท้าทาย ยังมีแรง ยังสนุกก็ทำไป เดี๋ยวถ้าวันไหนรู้สึกว่า ‘โอ้! ไม่ไหวแล้วค่า’ ก็จะปล่อยตัวเองค่ะ

Q :  แฟน ๆ ต่างยกให้ “แอน” เป็น “เจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง” ยังจำโมเมนต์ ณ ตอนนั้นได้มั้ย ว่ารู้สึกยังไง?

แอน : คือตอนนั้นก็จะรู้สึกเขิน ๆ นิดนึง แบบ ‘ใช่เหรอ จะดีเหรอ ฉันใช่เหรอ กรอบคำจำกัดความของคำนี้มันคืออะไร ฉันต้องปฏิบัติตัวยังไง หรือฉันเป็นคนไม่ดีไม่ได้ใช่มั้ย’ มันก็มีความงง ๆ นิดนึง แต่พอท้ายสุดมันก็แค่เป็นการให้เกียรติกันว่า ยูอยู่มานานนะ ก็ยังไม่ได้สร้างความเสื่อมเสียอะไรให้วงการนะ และคนก็คงอยากให้เหมือนเราเป็นโมเดลดี ๆ ในวงกร เพื่อให้น้อง ๆ มันเดินตามหลังมาแล้วรู้สึกว่า พี่คนนี้เขาทำมาดี เขาให้เรา เพราะเราเป็นแค่กรอบความสำเร็จอย่างนึง ที่ทำให้คนเห็นเป็นรูปร่างว่า ถ้าคนทำความดี ตั้งใจทำงาน ก็จะได้รับการให้เกียรติแบบนี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้น้อง ๆ เด็ก ๆ เราก็มองเป็นแง่ดีอย่างนั้นไป ในการชีวิต ก็ยังใช้ปกติ โมโหแอนก็โกรธ ใครร้ายมาแอนก็ร้ายกลับ แอนก็ยังมีโหมดนั้นอยู่ แอนไม่ได้เป็นองค์รัชทายาทอย่างแท้จริง (หัวเราะ) มันไม่ใช่ แอนเป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึง แต่บางคนบอกว่า โอ๊ย! ทำแบบนี้ เดี๋ยวเสียชื่อเสียงจริง อ๋อ! ไม่สนใจจ้า ไม่เกี่ยวกัน คนละเส้นเรื่อง

Q :  เห็นเคยให้สัมภาษณ์ว่า พร้อมตำแหน่ง “เจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง” ให้ “ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์” มองเห็นความน่ารักอะไรในตัวน้องญาญ่า?

แอน : คือแอนกำลังยกตัวอย่างว่า ใครก็ได้ที่เขาตั้งใจทำงานแล้วเขารักในอาชีพอย่างซื่อสัตย์ และเขาให้เกียรติกับงานตัวเอง และให้เกียรติคนดู ก็รับตำแหน่งไป ไม่เป็นไร แอนเลยยกตัวอย่างญาญ่าขึ้นมา เพราะใกล้ตัวที่สุด จริง ๆ มีน้องหลายคนที่มีความอย่างนั้น เช่น ใบเฟิร์น (พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์), ใหม่ (ดาวิกา โฮร์เน่) และมี ญาญ่า ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่แอนยกชื่อขึ้นมา แล้วยังมีอีกหลายคนที่แอนรีบพูดและพูดไม่หมด จริง ๆ มีอีกหลายคนที่เขาสมควรได้รับค่ะ

Q :  ด้วยความที่ “แอน” ประสบความสำเร็จ เป็นนางเอกแถวหน้า ด้วยชื่อเสียงที่เข้ามามากมาย มันเคยมีโมเมนต์ที่มีอีโก้ หลงลืมตัวเองจนหลุดจากความเป็นตัวเองไปบ้างมั้ย?

แอน : มันมีช่วงตอนวัยรุ่นที่อาจจะมีบ้างที่เรื่องมาก เอาแต่ใจ ขี้บ่น ตามประสาเด็ก ฮอร์โมน พอคนสนใจมาก ๆ ก็จะมีอารมณ์แบบนั้น หรือเหนื่อยมาก ๆ ก็จะมีอารมณ์แบบนั้น แต่ก็จะเป็นช่วงสั้น ๆ เพราะโดยกมลสันดานของเรา ยีนส์ของเราไม่ได้เป็นเด็กแบบนั้น แอนไม่ได้เกิดมาอะไรแบบนั้น แอนเกิดมาจากชาวบ้านหนึ่งธรรมดา มันก็เคยเป็นคนที่ถูกไม่สนใจมา แบบถูกเป็นมดเป็นปลวกอยู่แถวนั้น ไม่มีใครให้ความสำคัญอะไร แอนก็เป็นคนธรรมดาคนนึง แต่พอมันนึงมันเหมือนแบบมันช็อคน้ำ เราได้ความสำเร็จซะจนสำลักความสำเร็จนิดนึง มันก็อาจมีจังหวะแบบหลุดไปบ้าง แต่เราก็รีบดึงตัวเองกลับมาทัน ซึ่งก็มีทั้งคนเตือนให้รู้ตัวและรู้ด้วยตัวเองค่ะ

Q :  ณ วันนี้ เวลาที่พูดถึงชื่อ “แอน ทองประสม” อยากให้คนคิดถึงอะไรมากที่สุด?

แอน : ออ…ไม่เคยคิดเลย (หัวเราะ) ก็แค่เป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึงที่ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน แค่นั้นมั้ง ไม่ได้คิดว่าเรามีประโยชน์สำหรับใคร ไม่ได้คิดเป็นก้อนอย่างนั้น แค่ฉันไม่ใช่บุคคลอันตราย เธอไม่ต้องกลัวฉัน แค่นั้นเอง ไม่ต้องกลัวฉัน แต่อย่ามาคาดหวังกับฉัน บอกแล้วไงว่าฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนนึง ที่ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น (หัวเราะ)

Q :  รางวัลของนักแสดง คนบันเทิง สำหรับเราคิดว่าคืออะไร?

แอน : ความสุขของคนดูไง (ยิ้ม) แค่นั้นเลยค่ะ รางวัลของคนในวงการบันเทิงคือความสุขของคนดู อาชีพเราเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เราก็เป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ นั่นแหละคืออาชีพเรา เราต้องให้ความบันเทิง ให้ความสุขกับคนดู งานอะไรก็ได้ที่เราทำออกไป คนดูต้องเอ็นจอย ไม่จำเป็นต้องมีถ้วยรางวัลมาการันตี

Q :  อัพเดทเรื่องความรักหน่อย ความรักกับ “เอ-ทินพันธ์ ตันตินิรันดร์” ยาวนานกว่า 21 ปีแล้ว อยากรู้เคล็ดลับในการดูแลความรักที่ยาวนานและหวานชื่นแบบนี้?

แอน : อันที่หนึ่งเราหวังดีต่อกันจริง ๆ เรารักกัน เราอยากเห็นเขาได้ดี เราเป็นห่วงสุขภาพเขา เหมือนเป็นห่วงสุขภาพตัวเอง เราซื่อสัตย์ ไม่นอกใจ เราไม่วุ่นวายพื้นที่ส่วนตัวของเขา แค่นี้ค่ะ อย่างอื่นไม่มี ที่แอนจับได้และรู้สึกกับเขานะ

Q :  จากวันแรกถึงวันนี้สิ่งที่ประทับใจในตัว “เอ” คืออะไร?

แอน : เขาก็ค่อนข้างมั่นคงกับแอน ในเรื่องของการที่เขาจะมารู้สึกนอกลู่นอกทาง ยังไม่มี ในเรื่องความขี้ใจร้อนของแอน ความขี้โมโหของเขา มันก็เป็นข้อเสีย ที่เป็นดีเทลที่เราพูดไป ก็เหมือนเรามานั่งแฉคนของเรากันเอง มันมีอยู่แล้วทุกคนทุกคู่ แอนอาจมีความเห็นแก่ตัวในมุมมองของเขา ในบางอย่าง ส่วนเขาก็อาจมีความเอาแต่ใจในมุมมองของแอนบางอย่าง มันเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราตัดสินซึ่งกันและกันในแบบที่รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง ในก็อาจมีบ้าง แต่โดยภาพใหญ่ในความเป็นมนุษย์คนนึง ที่เราจะเอาเข้ามาไว้ในชีวิตเรา และเลือกจะมาจะเป็นคนในชีวิตเรา เขามีควอลิตี้ (Quality) มากที่เราควรเอาเขาเก็บไว้ใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นในสถานะคนรักหรือเพื่อนก็ตาม

Q :  ซึ่งความหวังดีต่อกันของเรา ก็เอาชนะจุดเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นได้?

แอน : ใช่ พอเรามองเขาเป็นครอบครัว เป็นเพื่อน เขาทำอะไรไม่ดี เราก็จะไม่โกรธเอาเป็นเอาตาย เราจะรอให้เขาหาย แล้วเปลี่ยนตัวเองใหม่ เหมือนให้โอกาสกัน แต่ถ้าเมื่อไหร่เขานอกใจเรา หรือว่าทุบตีทำร้ายเรา อันนี้แอนไม่เอานะ เราก็จะมีจุดที่เราแบบอันนี้ไมได้ ข้ามเส้นนี้ไม่รับ แต่เรื่องนิสัยใจคอ ใจร้อน แอนชอบมาสาย มันเล็กน้อย เรื่องพวกนี้มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน อยู่ที่ใครจะแจ๊กพอตเจอลีลาไหน ของแอนเจอลีลานี้

Q :  เหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ผ่านมาเข้ามาในปีนี้ “เอ” ได้ให้กำลังใจหรือเขาพยุง “แอน” ในมุมไหนบ้าง?

แอน : มันไม่เหมือนในละครนะคะ พอนางเอกเสียใจแล้วพระเอกมานั่งให้กำลังใจ ลูบหลัง มันไม่ใช่แบบนั้น แต่จะเป็นแค่หันไปก็ยังอยู่แถว ๆ นี้ โทรฯไปก็รับสายเรา แค่นั้นเลย เราไม่โทรฯ เขาก็ไม่โทรฯ เราไม่พูดถึง เขาก็ไม่ถามถึง เราพูดถึงเขาถึงพูดกลับมา มันเป็นอย่างนั้นมามากกว่า

Q :  เหมือน “เอ” ก็ให้พื้นที่ “แอน” เยียวยาจิตใจตัวเอง ไม่ได้ไปถามจี้ใจ?

แอน : เหมือนบางอย่างแอนก็สมควรได้รับความเจ็บปวดนั้น เพราะว่าก็สมน้ำหน้าแล้ว แอนพลาดเอง บางอย่างแอนเข้าใจเขานะ เขาอาจลูบหลังแอนได้ไม่เต็มหลัง เขาอาจแค่แตะ ๆ แล้วบอกจำไว้นะ เธอพลาดเอง เธอไปเปิดโอกาสให้คนเข้ามาล้ำพื้นที่เธอเอง อันนี้ดีแล้วที่เขาคอยเตือนเรา แอนจะได้ระวังตัวมากขึ้น

Q :  เหมือนที่บอกว่า “อะไรที่ฆ่าเราไม่ตาย มันก็ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น”?

แอน : ใช่ค่ะ อะไรที่ฆ่าเราไม่ตาย (หัวเราะ) แต่ของบางอย่างพี่มันมาทำให้เราเซลเสื่อม หรือเสื่อมถอยก็มีนะ เราก็อย่าไปมั่นหน้ามาก บางอย่างถ้าเราโดนชน โดนกระแทกบ่อย ๆ เราก็สึกหรอเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าพยายามให้มันเกิดก็จะดีกว่า

Q :  แฟน ๆ หลายคนก็ลุ้นงานแต่ง แต่เห็นว่า “แอน” ไม่อยากแต่งงานแล้ว อยากรู้ว่าทั้งคู่ให้ความสำคัญกับ “ชีวิตคู่” และ “การแต่งงาน” ยังไง?

แอน : ไม่อยากแต่งแล้วค่ะ หมดอารมณ์ (ยิ้ม) มันคืออะไรชีวิตคู่ ไม่รู้จริง ๆ รู้แต่ว่ามีพาร์ทเนอร์ที่ดี แอนว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอยู่คนเดียวไม่ได้ อย่างน้อยชีวิตเราหันไป ต้องมีคน ๆ นึงอยู่ข้างๆ  เรา หรือเวลาที่มีคนบอกว่า ยู ๆ มีอีเมอร์เจนซี่ คอล (Emergency Call) มั้ย คนที่เกิดอะไรขึ้นในตัวคุณต้องใส่ชื่อเขาไป มนุษย์ทุกคนต้องมีคน ๆ นี้นะ ไม่ว่าจะเป็นในสถานะไหน เช่น เป็นพ่อ แม่ เพื่อน แฟน สามี ภรรยา หรือลูก เพราะฉะนั้น ยังไงมนุษย์ต้องมีคู่ค่ะ แอนก็ยังเชื่อความธรรมชาติตรงนี้ เราต้องมีคู่ของเรา เพียงแต่ของแอนเป็นลีลานี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแต่งงงานกัน หรือว่าต้องมีประเพณี เทียบกับสมัยก่อนที่แอนไม่ได้ยุ่ง แอนอาจแต่งก็ได้ค่ะ แต่บังเอิญแอนดันข้ามมาไกลเกินกว่าจะอยากมีโมเมนต์ดี ๆ อะไรแบบนั้น ตอนนี้โมเม้นต์ของแอนเป็นความเรียบง่ายมากกว่า

Q :  ทั้งคู่ไม่ได้มอกว่า “การแต่งงาน” จะการันตีความรักให้ยืนยาว?

แอน : ไม่ ๆ ไม่เชื่อค่ะ อย่าหาว่าดาร์กนะ ถามแอนคนเดียว ไม่ตัดสินคู่อื่น แอนพูดเฉพาะในมุมมองแอนคนเดียว

Q :  นิยาม “ความรัก” ในแบบของ “แอน” ณ ช่วงวัยนี้ เป็นยังไง?

แอน : ให้เกียรติและให้พื้นที่กัน แค่นั้น

Q :  ความหวานและโรแมนติก มันยังจำเป็นในความรักของคู่เรามั้ย?

แอน : มันจะมีเป็นจังหวะของมันมากกว่า แต่มันไม่ต้องพยายามที่จะมี บางทีเราแค่มานั่งทำเล็บด้วยกัน อยู่ข้าง ๆ เรา ก็เป็นโมเมนต์หวานของเราแล้ว เหมือนมาใช้เวลาด้วยกัน ผู้ชายนั่งทำเล็บเป็นเพื่อน ก็แฮปปี้แล้ว แสดงว่าเขาเอ็นจอยในสิ่งที่เขาอยากอยู่ข้าง ๆ เรา เขาเห็นเราทำเล็บ ก็บอกทำด้วยได้มั้ย เขาไม่ได้ชอบหรอก แต่เขาอยากอยู่กับเรา พอทำแล้วก็ดีนี่ ผู้หญิงทำเล็บก็เพลินดี ก็กลายเป็นดี มันเป็นแบบนี้มากกว่า

Q :  แล้ว “แอน” เองล่ะ มีเข้าไปร่วมกับกิจกรรมของ “เอ” บ้างมั้ย?

แอน : มีช่วงนึงเขาตกปลา ชอบเข้าร้านหนังสือ แอนก็เข้าไปบ้างเหมือนกัน แต่นั่งดูเฉยๆ นะ ไม่ร่วม ไม่อิน (ยิ้ม) เข้าร้านหนังสือ เขาไปฝั่งหนังสือภาษาอังกฤษ ดิฉันก็ไปหนังสือภาษาไทย ก็ได้อยู่ เราก็ไปเอานิยายของเรามา ก็ไม่เป็นไร คนละมุมคนละโซน แต่ก็ยังอยู่ในร้านหนังสือเดียวกัน

Q :  แต่กิจกรรมนึงคือการเป็นช่างถ่ายรูปให้ “แอน” ตลอดไป?

แอน : ใช่ค่ะ เขาเป็นคนมีกล้องเยอะ และเขาจะรู้ว่าเรามีมุมสวยตรงไหน ขี้เหร่ตรงไหน

Q :  ชีวิตนักแสดงในช่วงวัยนี้ กับการมีแฟนคลับคอยซัพพอร์ท มันมีความสำคัญมากแค่ไหน?

แอน : อย่าหาว่าแอนพูดโปรยยาหอมหรืออะไรเลยนะ คือนักแสดงควรต้องมีแฟนคลับ และควรต้องรักษาเขาด้วย เพราะแฟนคลับเป็นกลุ่มเดียวเลย ไม่ว่าเราจะผิดชอบชั่วดียังไง เขายังคอยให้กำลังใจเรา อยู่กับเราเหมือนคนในครอบครัวเรา แต่เขาแค่อยู่ในวงล้อมอีกอย่าง ที่ไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับเรา เขามาหลงรักเราแค่ชั่ววูบ ช่วงเวลานึง ก็ถือเป็นโมเมนต์ที่ดี ที่มีคนนึงให้ความรู้สึกดี ๆ กับเรา เคยเจอมั้ยที่เราแบบคบใครสักคน เป็นแฟนก็ได้ แต่คบแค่ 6 เดือน แต่ตอนนั้นเรารักกันมากเลย แต่สักพักนึงเราเลิกรักกัน เพราะหมดรักแล้ว และก็ไปรักคนอื่นต่อ ก็ไม่เป็นไร เพราะใน 6 เดือนนั้นก็ถือเป็นโมเมนต์ที่ดี ที่เขามาเลือกที่จะให้ชิ้นความรักนั้นกับเรา เราก็ควรให้เกียรติเขา อย่างแฟนคลับแอนไม่ได้มีเยอะนะ เขาจะมีอีกลีลานึง เราก็ต้องดูแลกันในอีกลีลานึง  มีวิธีดูแลในแบบของเรา จริงใจต่อกัน เราไม่ยูส (Use) กันค่ะ

Q :  มีที่เป็นแฟนคลับตั้งแต่เด็กจนโต มีลูกมาหาเราบ้างมั้ย?

แอน : มีค่ะ มีทั้งมีลูกมีเต้า จนหย่าร้าง มีทุกอย่าง บางทีแอนมีป้าคนนึงมา เขาไม่มีลูกสนใจเขาแล้ว การมีเรา มันเหมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงเล็ก ๆ ที่ทำให้เขามีแอคทิวิตี้อะไรที่ได้เขาออกจากบ้าน บางคนอาจไปตามคาเฟ่ญี่ปุ่น ที่มีคนมานั่งถักโครเชต์ด้วยกัน นั่นคือความสุขของคนแก่คนนึง แต่มีคนแก่บางคนมีความสุข กับการถือส้ม 3 ลูกให้เราตามเราไปงานอีเวนท์ต่าง ๆ ลูกก็ปล่อยมา เราถึงบอกว่าอย่าไปอิกนอร์ความรักที่เขาให้ จริง ๆ คุณไม่รู้หรอกว่าเรามีค่าสำหรับคนแก่คนนึง หรือเด็กคนนึงที่พ่อแม่ไม่สนใจแต่มาอยู่กับเราแล้วมีความสุข ก็ให้เขาไปเถอะ ไม่รู้นะในความรู้สึกแอน บางทีแฟนคลับก็ขาด เราก็ให้กำลังใจกันไป มาเจอก็เหมือนคนได้ออกมาเที่ยว เจอเพื่อน แป้บเดียวก็ยังดี แต่เราอาจไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตเขา แต่แค่โมเม้นต์เดียวเลย สักเดือนนึงเจอกันได้สองครั้ง ก็แฮปปี้แล้ว เหมือนมีสังคม มีการสังสรรค์กัน

Q : ฝากผลงานหน่อย?

แอน : จะได้เล่นหนังอีกสักกี่ปีก็ไม่รู้นะคะ ก็รีบไปดู ๆ กัน (หัวเราะ) ตลอดหนังมันอาจไม่ใช่พื้นที่แอน แต่ก็อยากให้ทุกคนดูเรื่อง ‘บัวผัน ฟันยับ’ และสนับสนุนหนังไทยค่ะ

ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับ “แอน” มักได้เรียนรู้และเห็นมุมมองดี ๆ จากเธออยู่เสมอ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ณ วันนี้แม้จะมีนักแสดงใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ “แอน” ก็ยังคงครองตำแหน่ง “เจ้าหญิงวงการบันเทิง” ได้อย่างสมศักดิ์ และมีแฟนคลับรักมากมาย ซึ่งมันไม่ใช่เพียงแค่ฝีมือการแสดงของเธอเท่านั้น แต่มันคือตัวตนและหัวใจที่รักงานในวงการอย่างแท้จริง!