เมื่อวันที่ 13 พ.น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเตรียมยื่นคำร้องเพื่อถอนประกาศถอดกัญชาจากความเป็นยาเสพติด ว่า ยอมรับว่าความหวั่นไหวเคยมี แต่ไม่ใช่ช่วงนี้ มันเกิดขึ้นช่วงแรกๆ ด้วยความที่เราศึกษาเกี่ยวกับกัญชาระหว่างทำนโยบายมานานหลายปี เราลืมไปว่ามีคนบางส่วน เขาไม่ได้มาอัพเดทข้อมูลความรู้เหมือนกับเรา พอมีประกาศปลดล็อกกัญชาปุ๊บ เขาตกใจ ตนเก็ตกใจที่เขาตกใจแล้วก็ค่อยๆมาตกผลึกว่า เขายังติดอยู่กับความเข้าใจเดิมว่า กัญชาเป็นยาเสพติด แล้วภาพในหัวมันจะไม่ต่างกับยาบ้า ในขณะที่เราขลุกอยู่กับแพทย์ที่ใช้กัญชารักษาคนมาหลายปี เราได้ฟังการนำเสนองานวิจัยและสถิติต่างๆ จากต่างประเทศ เราได้รู้ว่ากัญชาไม่ได้ติดง่าย เมื่อเทียบกับเหล้าบุหรี่ ไม่เคยทำให้ใครตาย แต่กัญชามีประโยชน์มหาศาล ทำผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ แถมอยู่คู่ภูมิปัญญาไทยมานานด้วย สิ่งเหล่านี้คนทั่วไปไม่รู้เลย แต่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) รู้ ดังนั้นเขาจึงได้ให้ถอนกัญชาออกจากความเป็นยาเสพติด

เมื่อถามว่า เหตุใดความหวั่นไหวจึงหายไป นายอนุทิน กล่าวว่า ก็เป็นธรรมชาติของเรามาตลอดชีวิต เจอปัญหาก็แก้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ คนไม่เข้าใจก็สร้างความเข้าใจ มีคณะทำงาน มีการให้ความรู้ในแอพพลิเคชั่นปลูกกัญ ประชาชนตื่นตัวกันมาก เครือข่ายกัญชาต่างๆ เขารู้มากกว่าตนอีก ในที่สุดวันนี้พูดได้เลยว่าคนเข้าใจกัญชามากขึ้นกว่าเดิมมาก ถ้าไม่อคติ ถ้าศึกษาจริงๆ อย่าลืมว่ามันเป็นพืช เป็นสมุนไพร เราใช้ดีๆก็เป็นประโยชน์ได้ ชาวบ้านเขาต้มชาช่วยให้หลับสบาย เอาใบมาชูรสอาหาร เอามาทำน้ำมัน ทำยามานานแล้ว ก่อนที่ฝรั่งจะเอาไปล็อกไว้ หลายคนมาเล่าประวัติศาสตร์ว่าสูบแล้วมันผ่อนคลายเกินไป

สมัยก่อนส่งทหารมารบแล้วมีปัญหา เพราะอารมณ์ดีจนขี้เกียจไปก็ไม่มีอารมณ์จะสู้รบ อันนี้ตนไม่รู้จริงมั้ย เพราะไม่ได้สนใจ ในเมื่อเรารู้แล้วว่าประโยชน์มันมี และโทษมันควบคุมได้ ทำไมเราจะไม่เอามันคืนให้คนไทยได้ใช้งาน ตนคิดแค่นี้ ประโยชน์มีมากเหนือโทษ​ คนควรจะหยิบไปทิ้งหรือหยิบมาใช้ เชือกอยู่ในบ้านทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ทำไมจะไปคิดว่าคนจะเอาไปทำสิ่งไม่ดีไม่งาม เอาไปทำอันตราย แล้วเราต้องไปทำให้เชือกมันผิดกฎหมาย ใครมีต้องเอาไปขังคุก เราทำอย่างนั้นมั้ย จะไปโทษเชือกได้อย่างไร อยู่ที่คนนำไปใช้ประโยชน์ แล้วทำไมเราจะไปทำกับพืชสมุนไพรกัญชา ทั้งที่มันมีประโยชน์มากมาย

นายอนุทิน กล่าวต่อ ไปว่าโลกนี้ไม่มีอะไรคุมได้ 100% นะ แต่ในการบริหารบ้านเมือง เราต้องชั่งน้ำหนัก อันนี้สำคัญมาก ไม่งั้นไม่ต้องทำอะไรกันเลย ขับรถก็ไม่ได้เดี๋ยวรถชน ใช่มั้ย มันไม่ใช่ นักบริหารต้องมีเกณฑ์ในการตัดสินใจกับทุกนโยบาย เกณฑ์นั้นคืออะไร คือการชั่งน้ำหนัก ประโยชน์มีแค่ไหน โทษมีแค่ไหน ถ้าประโยชน์เหนือโทษแล้วจะจำกัดความเสี่ยงยังไง การจำกัดความเสี่ยงไม่ได้แปลว่าความเสี่ยงจะเป็นศูนย์ ถ้าจะให้ความเสี่ยงเป็นศูนย์คือห้ามขับรถ แต่จำกัดความเสี่ยงคือการสร้างกฎ จำกัดความเร็ว จำกัดอายุความสามารถผู้ขับขี่ แล้วมีตำรวจจราจร เป็นแบบนี้ มนุษย์เราจึงก้าวหน้าไปได้ทุกวัน

เมื่อถามว่า คิดว่าทำไมจึงยังมีคนต้าน ถึงขั้นจะคว่ำ พ.ร.บ.กัญชาฯ เสนอให้เอากลับไปเป็นยาเสพติด นายอนุทิน กล่าวว่า ตนยังงงเหมือนกัน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า พรรคการเมืองทุกพรรคไม่กล้าพูดสักพรรคว่าไม่เอากัญชาเลย พรรคการเมืองล้วนสนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ เพราะกลัวเสียคะแนน แต่พอจะทำกฎหมายให้ควบคุมกัญชากลับออกมาต้าน ย้อนแย้งหรือไม่ เมื่อพรรคภูมิใจไทยสัญญาว่าจะปลดล็อก คืนกัญชาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ สร้างรายได้ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เรื่องการออก พ.ร.บ.ไม่ได้อยู่ในคำสัญญาของเรา แต่เราริเริ่มทำเพื่อตอบสนองต่อข้อห่วงใยของทุกฝ่าย แล้วสภาก็รับไปปรับปรุงต่อ ถ้าไม่ผ่านใครจะรับผิดชอบกับความต้องการของประชาชนในส่วนนี้ ในส่วนของเราที่พูดไป เราทำหมดแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าสุดท้าย พ.ร.บ.กัญชาฯ จะผ่านหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “ไม่คิด คือไม่คิดเลยว่าจะผ่านไม่ผ่าน เราทำหน้าที่ของเราสมบูรณ์แล้ว วันนี้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ วันนี้กัญชาคือ สมุนไพร ผมคืนกัญชาให้ประชาชนแล้ว ผมออกกฎกำกับดูแลเท่าที่ขอบเขตอำนาจผมจะทำได้แล้ว ผมเสนอร่าง พ.ร.บ.จนคณะกรรมาธิการของสภา นำไปพิจารณาต่อยอดเพิ่มเติมไปอีกห้าสิบมาตราแล้ว ถ้าสุดท้ายสภาไม่เอาสิ่งที่ร่วมกันสร้างมา ไม่เป็นไร สมัยหน้าผมเสนอใหม่”

เมื่อถามถึง ข้อกล่าวหาถึงความไม่รอบคอบที่ปลดล็อกก่อนมีกฎหมายควบคุม นายอนุทิน กล่าวยืนยันว่า ความรอบคอบในความที่ตนเป็นคนทำงานและเป็นผู้บริหารคือการที่ตนได้ให้กระทรวงสาธารณสุขออกระเบียบเป็นประกาศกระทรวงเพื่อให้การดำเนินนโยบายกัญชา กัญชง ไม่สะดุด เพราะคาดไว้ระดับหนึ่งว่าจะต้องมีผู้ขัดขวางการออกกฎหมายด้วยเหตุผลในทางการเมืองซึ่งก็คือ การกลัวพรรคภูมิใจไทยของตนได้รับความนิยมจากพี่น้องประชาชนมากเกินไป ดูได้จากคำพูดของสมาชิกพรรคที่ต่อต้านก็เข้าใจได้เลยว่า พวกเขาไม่ได้ทำการบ้าน ไม่ได้อ่านร่างกฎหมาย ไม่มีหลักการ รับวาระแรก แล้วจะคว่ำวาระสอง ไม่รักประชาชน อย่างไรก็ตาม เราเคารพกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจนครบถ้วนแล้ว เป็นประชาธิปไตยกัน สุดท้ายตนเคารพการตัดสินใจของทุกคน.