นายปริเขต สืบสหการ ผู้อำนวยการทัวร์นาเมนต์เจ็ตสกีเวิลด์คัพและเวิลด์ซีรีส์ เผยว่า จากการที่ประเทศไทย ได้พัฒนาวงการเจ็ตสกี จนก้าวมายืนแถวหน้าของโลกได้สำเร็จแล้วนั้น ส่งผลให้ไทยขึ้นเป็นองค์กรผู้นำโลกอย่างเป็นทางการ ทำให้ขับเคลื่อนประโยชน์ด้านต่างๆ ให้กับประเทศได้เต็มรูปแบบแล้ว แบ่งเป็นด้านเศรษฐกิจ 4 กลุ่ม คือ 1. เวิลด์ฮับ นำเข้าท่องเที่ยวต่างชาติ 1,000 ล้านบาท, 2. การเติบโตกีฬาในประเทศ 800 ล้านบาท, 3. สร้างตลาดธุรกิจกีฬาในประเทศ 2,000 ล้านบาท และ 4. ด้านการเริ่มต้นพัฒนาอุตสาหกรรมและการส่งออก 200 ล้านบาท รวมเป้าหมายกว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี และด้วยความเป็นหนึ่งบนเวทีโลกนี้เอง ทำให้เทปการแข่งขันได้ถูกจองไปออกอากาศในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกแล้ว โดยเราได้สอดแทรกการท่องเที่ยวไทย เข้าไปด้วย จึงนับเป็นความสำเร็จในด้านมูลค่าสื่ออีกมหาศาล ซึ่งต้องขอขอบคุณกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย และกองทุนพัฒนาการกีฬาชแห่งาติ ที่ช่วยกันสร้างความสำเร็จให้แก่ประเทศไทย
ผอ.ปริเขต กล่าวอรกว่า ก่อนหน้านี้ ไทยพัฒนาจนสนามเวิลด์คัพเป็นสนามเจ็ตสกี ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อปี 2018 แต่ปรากฏว่า ชาติคู่แข่งได้เห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ที่เฉพาะทีมแข่งมีกว่า 2,000-3,000 คน เข้ามาแข่งขัน สร้างเม็ดเงินรวมหลายร้อยล้านบาท จึงอยากล้มทัวร์นาเมนต์ของไทย ไปสร้างที่ชาติของตน เพราะเป็นชาติมหาอำนาจ มีเงินมากกว่า ไทยจัดแค่ปีละครั้งเดียวล้มได้ง่ายๆ และที่สำคัญคือมองว่าไทยไม่เคยมีความสามารถเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์กีฬาอะไรเลย น่าจะเอาชนะง่ายๆ ตรงจุดนี้เป็นประเด็นที่น่าคิดมาก
“จุดนี้เองจึงทำให้เราจะต้องพาแบรนด์ไทยออกไปสู่เวทีโลก และเราทำสำเร็จในปี 2019 โดยได้สร้างระบบการเก็บคะแนนชิงแชมป์โลก ขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 38 ปี ของกีฬาเจ็ตสกีโลก สร้างเครือข่ายไปเก็บคะแนนสนามแรกที่ทวีปยุโรป สนาม 2 ที่ทวีปอเมริกา และผูกให้ต้องมาชิงชนะเลิศที่ไทย เป็นการขยายตัวจากทัวร์เน้าเม้นท์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของไทย ภายใต้การยอมรับของสมาคมเจ็ตสกีโลก IJSBA สหรัฐอเมริกา ซึ่งปีนั้น การกีฬาแห่งประเทศไทย ประเมินว่าเพียงทัวร์นาเมนต์เดียว ไทยได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกว่า 700 ล้านบาท เลยทีเดียว” นายปริเขต กล่าว.