พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองด้านการพัฒนากีฬา กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาผู้ขอรับการส่งเสริมสนับสนุนจากงบประมาณกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การอบรม และ Workshop การใช้งานระบบคำขอ NSDF ที่คริสตัล ดีไซน์เซ็นเตอร์ ฮอลล์ เรียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เมื่อวันก่อน โดยมี ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ พร้อมด้วย นายวินัย ทองรัตน์ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดตรัง ในฐานะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และ นายปรีชา ลาลุน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนากีฬาเป็นเลิศ กกท. เข้าร่วมงานในครั้งนี้

สำหรับการสัมมนาวันสุดท้าย มีผู้แทนสมาคมกีฬาแห่งจังหวัด, สำนักงาน กกท. จังหวัด 77 จังหวัด และสำนักงาน กกท. ภาค 5 ภาค เข้าร่วมคับคั่ง จัดขึ้นเพื่อเรียนรู้ และทำความเข้าใจกับระบบ ระเบียบข้อปฏิบัติ ในการขอรับทุนสนับสนุนในด้านต่างๆ จากทางกองทุนฯ ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่นำมาใช้แทนระบบเอกสาร ช่วยลดขั้นตอนกระชับ โปร่งใส และตรวจสอบได้ทั้งนี้ ก็เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการขอรับการสนับสนุนงบงบประมาณจากกองทุนฯ

พล.อ.ณัฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมายอมรับว่าเกิดปัญหาเรื่องการของบประมาณของสมาคมกีฬา ทำให้ทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานบอร์ดกองทุนฯ สั่งการหาวิธีแก้ไขปัญหาโดยด่วน ทางกองทุนฯ จึงได้คิดโปรแกรมการยื่นขอรับการสนับสนุนงบขึ้นมา และจะเห็นได้ว่าทุกฝ่ายมีความตั้งใจจริงร่วมกันแก้ไขปัญหาให้กับวงการกีฬาของชาติ โดยเฉพาะความร่วมมือของทุกสมาคมกีฬา ต่างขานรับนโยบายอย่างเต็มที่

“การนำระบบออนไลน์มาใช้แทนระบบเดิม ที่ใช้ระบบการส่งเอกสาร เป็นวิธีดีที่สุด ที่จะช่วยแก้ปัญหาความล่าช้า ตัดปัญหาการสูญหาย จัดเก็บข้อมูลเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในอนาคตได้ ช่วยลดขั้นตอน กระชับ โปร่งใส และตรวจสอบได้ผมมั่นใจว่าระบบออนไลน์จะตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาได้แน่นอน เพราะมีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพ” พล.อ.ณัฐ กล่าว

ด้าน ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) กล่าวว่า ภาพรวมการจัดเวิร์กช็อป ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เพราะเราได้เห็นความร่วมมือกันของกองทุนฯ กกท. และทุกสมาคมกีฬาจากทั่วประเทศ ขานรับนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งการนำระบบออนไลน์มาใช้ นอกจากจะทำให้การทำงานรวดเร็วแล้ว ยังลดความผิดพลาด ถือเป็นการเดินตามนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล ซึ่งความสำเร็จที่เริ่มขึ้นนี้กองทุนฯ ต้องขอบคุณ กกท. ตลอดจนทุกสมาคมกีฬาด้วย

นายวินัย ทองรัตน์ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดตรัง ในฐานะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ กล่าวว่า จากการที่ได้พูดคุยกันในบอร์ดกองทุน เพื่อหาวิธีให้เกิดความโปร่งใสและกระจาย สิ่งสำคัญคือเรื่องการยื่นคำขอ ซึ่งเดิมใช้ระบบเอกสารแต่ตอนนี้จะใช้ระบบออนไลน์ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขอยืนยันว่า ระบบนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา

นายปรีชา ลาลุน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนากีฬาเป็นเลิศ กกท. กล่าวว่า ระบบนี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามเงื่อนไข เหลือแค่ความสำคัญของรายการนั้นได้ตอบโจทย์ของประเทศหรือการพัฒนาการกีฬาได้อย่างไร ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องการที่จะทำให้เม็ดเงินลงไปสู่นักกีฬา เพื่อพัฒนาและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ตามแผนยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่ง ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. ให้ความสำคัญและสั่งการให้ความร่วมมือกับทางกองทุนฯ เพื่อนำระบบมาใช้ เชื่อว่าในปี 2566 เป็นต้นไปทุกอย่างจะรวดเร็ว กระชับ โปร่งใส และตรวจสอบได้

นายอัศวะ รุ่งจรัส เจ้าหน้าที่สมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า การจัดเวิร์กช็อปนี้ ถือเป็นการทบทวนระบบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ รวมทั้งทำความเข้าใจในรายละเอียดต่างๆ ระหว่าง กองทุนฯ กับ สมาคมกีฬา ส่วนตัวหวังว่าการเสนอขอรับทุนแบบระบบออนไลน์ จะสามารถทำได้จริง เพราะจะเกิดผลดีกับทุกฝ่าย ทำให้ได้ข้อมูลครบถ้วน ถือเป็นการลดขั้นตอนในการทำงานที่ดีมาก มีความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอน และถูกต้องตามกฏระเบียบของกองทุนฯ ทางสมาคมกีฬาเองก็สามารถจัดเก็บข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ และนำข้อมูลไปใช้ได้จริง

นายเสรี ตันเต็มทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไป สมาคมกีฬาราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยฯ (ร.ย.ส.ท.) กล่าวว่า การเวิร์กช็อปครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกสมาคมกีฬามาก แม้จะเป็นก้าวแรกของการเริ่มต้น แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก การเสนอโครงการเพื่อขอรับทุนจากกองทุนฯ ที่เปลี่ยนจากระบบเอกสารมาเป็นระบบออนไลน์นั้น เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับสมาคมกีฬา มีความชัดเจนในการทำงาน ลดขั้นตอนในการทำงานประหยัดเวลา มีความสะดวกต่อทั้งกองทุนฯ และกับทุกสมาคมกีฬา

นายจิรวัฒน์ นอขุนทด เจ้าหน้าที่สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า การนำระบบออนไลน์มาใช้ ทำให้มีความสะดวกต่อการติดต่อประสานงาน การติดตามงานของสมาคมกีฬาได้ง่ายยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการประเมินผลงานของสมาคมกีฬาเองด้วย มองว่า การสัมมนาครั้งนี้เกิดประโยชน์มาก เพราะได้เห็น กกท. และกองทุนฯทำงานร่วมกันเต็มที่ และเชื่อว่าสมาคมกีฬาต่างๆ จะมีความรู้ความเข้าใจในระบบการเสนอขอรับทุนในโครงการต่างๆ ได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน