จากกรณี นายศุภโชค (สงวนนามสกุล) พร้อมครอบครัว และทนายความ เข้าร้องทุกข์ต่อ พงส.บก.ป. เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงในกรณีสงสัยว่า นายเอ (นามสมมุติ) บิดาซึ่งเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วัย 75 ปี กำลังถูกกลุ่มบุคคลที่น่าจะเป็นขบวนการ เข้ามาหลอกลวงจนสูญเสียทรัพย์สินประมาณ 50 ล้านบาท ขณะที่ ฝ่ายหญิงคู่กรณี น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 65 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชี้แจงว่า ไม่ได้มีการหลอกลวงอีกฝ่ายแต่อย่างใด การแต่งงานเป็นไปด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย โดยสามีเก่าของตนได้เลิกรากันไปแล้ว มีการแยกกันอยู่นับ 10 ปี กระทั่งนัดมาหย่าขาดก่อนจดทะเบียนกับ นายเอ ในวันเดียวกัน ที่ผ่านมา นายเอ ได้ยืมทรัพย์สินและทำธุรกิจร่วมกับตนหลายอย่าง ทั้งหมดมีหลักฐานสามารถชี้แจ้ง พร้อมจะไปให้การกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ในวันที่ 25 ต.ค.65 นี้ ก่อนตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมฝ่ายครอบครัวของสามีถึงได้ส่งคนมาลักพาตัวสามีไป ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น

หวั่น ‘เศรษฐีอสังหาฯ’ถูกหลอกแต่งงาน เป็นขบวนการลวงเอาทรัพย์สิน 50 ล้าน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 23 ต.ค. นายศุภชัย (สงวนนามสกุล) บุตรชายอีกคนหนึ่งของนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้ชี้แจงว่า ประเด็นที่ น.ส.บี อ้างว่า นายเอ คุณพ่อของตนยืมเงินแต่ทรัพย์ติดจำนองเลยไม่ให้กู้ ตั้งข้อสงสัยกลับไปว่า ถ้าไม่เชื่อว่าคุณพ่อมีเงิน แล้วทำไมถึงมาอวดเช็คร้อยล้าน และสิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็น อยากได้คุณพ่อเป็นสามี และปรากฏว่ามาเอาเงินกับทรัพย์สินอื่นจากคุณพ่อไป

ส่วนเรื่องการจดทะเบียน นั้น มองว่า การจดทะเบียนหย่า กับอดีตสามี และ จดทะเบียนสมรส กับคุณพ่อ ในวันเดียวกันนั้น เป็นสิ่งที่ผิดปกติหรือ ไม่ และมีเหตุผลอะไรที่จะต้องรีบจดทะเบียนสมรสใหม่ ในทันที ที่หย่าขาดจาก อดีตสามี ในส่วนของอาคารที่ น.ส.บี กล่าวอ้างว่าเป็นบ้านของเขา และมีคนบุกไปอุ้ม คุณพ่อ ตรงนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

แต่เดิมผู้หญิงคนนี้ ให้คุณพ่อไปอยู่บ้านของเขาเอง แต่ภายหลังมีการจ้างคนมาคุมคุณพ่อหลายคน จึงย้ายมาอยู่อพาร์ตเมนต์ของครอบครัวแถววังหิน ซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์ของครอบครัวที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ ยังไม่ได้เปิดให้ใครเช่า ซึ่งคนที่ไปรับคุณพ่อ ก็คือลูกชายแท้ ๆ มีการไปรับมาจากตึกของคนในครอบครัว ไม่ใช่บ้านของผู้หญิงคนนั้น หนึ่งในเหตุผลที่ต้องไปรับคุณพ่อกลับมา ก็เพราะเป็นห่วงคุณพ่อ เพราะรู้ว่าผู้หญิงคนที่พ่อไปจดทะเบียนสมรส เป็นคนที่มีข่าวบ่อย ๆ

“….ตอนที่ลูกไปรับคุณพ่อออกจากอาคาร ก็เดินจูงมือกันมาตามปกติ ไม่ได้มีการบังคับ หรือข่มขู่ให้เดินออกมาแต่อย่างใด คุณพ่อเดินขึ้นรถก่อนด้วย ประตูรถอีกฝั่งก็เปิดอยู่ เพราะถ้าไม่อยากไป ก็สามารถลงจากรถได้เลย…” นายศุภชัย กล่าว

จากนั้นทางครอบครัวได้ไปเอาตึกคืน พร้อมกับนำป้ายห้ามเข้ามาติดไว้ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับแอบอ้างทำนามบัตรเป็นเจ้าของโดยใช้ชื่อบริษัทที่ตัวเองตั้งขึ้นมาอ้างว่า เป็นเจ้าของตึก สำหรับเรื่องการแบ่งสมบัตินั้น โดยส่วนใหญ่คุณพ่อจะถือหุ้น 50 เปอร์เซ็นต์ในเกือบทุกบริษัท และครอบครัวอีก 5 คน ก็ถือส่วนที่เหลือ คุณพ่อเคยบอกความตั้งใจกับครอบครัวว่า ส่วนที่เหลือก็คงจะทยอยแบ่งให้กับคนที่เข้ามาช่วยดูแล ซึ่งทางบ้านไม่เคยรบเร้า ให้แล้วแต่เมื่อท่านเห็นว่าเวลาจะเหมาะสม และแม้ว่าจะมีคุณแม่ พี่ชาย และน้องชาย ช่วยทำธุรกิจมาตลอด แต่คุณพ่อก็ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามอยู่

ส่วนกรณีคลิปเสียงของผู้หญิงที่ปล่อยออกมาโดยอ้างทั้งสองรักกันจริง ซึ่งตรงนี้ขอตั้งขอสังเกตว่า ภรรยาที่อัดคลิปเสียงของสามี โดยให้พูดลักษณะดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน เผื่อว่าหากคุณพ่อเสียชีวิต ก็จะได้สมบัติของคุณพ่อทันที แบบนี้ถือเป็นการเตรียมการล่วงหน้าหรือไม่? ทำแบบนี้รักกันจริงหรือไม่? ทำแบบนี้เสมือนเป็นการแช่งให้ตาย ทั้งที่เพิ่งจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่?