นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 1 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการปล่อยสินเชื่อฟื้นฟูสิ้นวันที่ 28 มิ.ย.64 มียอดรวม 59,061 ล้านบาท ครอบคลุมลูกหนี้ 19,427 ราย เฉลี่ย 3 ล้านบาทต่อราย โดยสินเชื่อกระจายตัวได้ดีทั้งในแง่ของขนาด ประเภทธุรกิจและภูมิภาค โดย 46% กระจายไปยังเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมไม่เกิน 5 ล้านบาท ขณะที่ 68%  อยู่ในภาคพาณิชย์และบริการ และ 68% เป็นธุรกิจในต่างจังหวัด คาดมีแนวโน้มเป็นไปตามเป้าหมายร่วมของ ธปท.และสมาคมธนาคารไทยที่ 1 แสนล้านบาท ภายในเดือนต.ค.นี้

ส่วนโครงการพักทรัพย์ พักหนี้มีมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับโอน 941 ล้านบาท จากจำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 11 ราย เนื่องจากเป็นโครงการใหม่ ทั้งสถาบันการเงินและลูกหนี้ยังไม่คุ้นเคยกับลักษณะของโครงการ ทำให้ต้องใช้เวลาในการเจรจาหาข้อสรุปในเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ราคาตีโอน เงื่อนไขการเช่า ผู้ดูแลทรัพย์ และการซื้อคืน เป็นต้น ปัจจุบันมีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่สถาบันการเงินอนุมัติในเบื้องต้นแล้ว อยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงในรายละเอียด ประกอบกับลูกหนี้ยังรอการออกกฎหมายยกเว้นภาษีที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมให้มีผลบังคับใช้ คาดว่าจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการจะทยอยเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

ทั้งนี้ ธปท. เห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ที่ได้ถูกออกแบบมาโดยมีการหารือกับสถาบันการเงินและผู้ประกอบการมาโดยตลอด ดังนั้น ต้องให้เวลาทั้งสองฝ่ายเจรจาเงื่อนไขต่าง ๆก่อน ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. รับทราบปัญหาในประเด็นต่าง ๆ ของลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง และได้สื่อสารทำความเข้าใจเพิ่มขึ้น เช่น ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องมีหลักประกันเพิ่มในการขอสินเชื่อฟื้นฟู เพราะมีกลไกการค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)

นอกจากนี้ ก่อนการเจรจากับสถาบันการเงิน ผู้ประกอบการควรเตรียมความพร้อม ทั้งจัดทำแผนการดำเนินธุรกิจหรือแนวทางการปรับธุรกิจ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ในระยะข้างหน้า หรือประมาณการกระแสเงินสดที่จะเข้ามาในอนาคต เป็นต้น เพื่อเพิ่มโอกาสและความรวดเร็วในการที่จะได้รับสินเชื่อฟื้นฟูจากสถาบันการเงิน

อย่างไรก็ตามในกรณีลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ มีความกังวลว่าจะถูกยึดทรัพย์เมื่อครบกำหนดสัญญานั้น ในทางปฏิบัติ ลูกหนี้และเจ้าหนี้ต้องทำสัญญาเพื่อกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ร่วมกัน และทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดย ธปท. ได้เข้าไปร่วมพิจารณาสัญญาให้เป็นธรรมโดยการกำหนดถ้อยคำในสัญญามาตรฐาน และให้สถาบันการเงินที่ขอเข้าร่วมโครงการส่งสัญญาตีโอนให้ ธปท. พิจารณาก่อนที่สถาบันการเงินจะเข้าร่วมโครงการนี้ได้

“ธปท. ให้ความสำคัญและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอี และทำงานเชิงรุกร่วมกับสมาคมธนาคารไทย และกับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ในการติดตามความคืบหน้าของมาตรการอย่างใกล้ชิด รวมทั้งร่วมมือกับสมาคม สมาพันธ์ และชมรมต่าง ๆ ของภาคธุรกิจในการสร้างความเข้าใจ แก้ไขข้อจำกัด เพื่อให้ลูกหนี้เข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือต่าง ๆ ได้รวดเร็ว เพียงพอ และตรงจุด และ ธปท. ได้กำชับให้สถาบันการเงินเร่งรัดกระบวนการพิจารณา และหาข้อสรุปกับลูกหนี้โดยเร็ว รวมถึงสื่อสารทำความเข้าใจกับพนักงานสาขาในการให้ข้อมูลกับผู้ประกอบการได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น”