หลังจาก “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย แพ้จุดโทษ มาเลเซีย 4-6 หลังเสมอ 90 นาที 1-1 ชวดเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 48 ที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี
ทัศนะคนวงการลูกหนัง อย่าง “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน พูดในรายการ “แตงโมลง ปิยะพงษ์ยิง” อย่างดุเดือด ระบุว่า ทีมไทยเล่นในบ้าน ได้เปรียบทุกประตู ตัวผู้เล่นก็ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นต้องดูเนื้อใน
“ต้องยอมรับว่าการเล่นกับ มาเลเซีย เกมเรา..ขออนุญาตพูดว่าไม่เป็นสับปะรดในครึ่งแรก ผมทำรายการมา ผมสนับสนุนทีมชาติ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมว่า คำว่าไม่เป็นสับปะรด เพราะเราแก้เพรสซิ่งมาเลเซียไม่ได้เลยในแดนหลัง ทั้งที่นักบอลเราผ่านการเป็นนักบอลอาชีพ ฝึกซ้อมอย่างดี นี่คือโจทย์ของโค้ช”
เดอะตุ๊ก กล่าวต่อไปว่า เรื่องต่อมา สถานการณ์แกะบอลแล้ว ชอบแปะข้าง ฝากแล้วไป เหมือนคนแก่เล่น บอลสมัยใหม่ ต้องเลี้ยงจี้ 1-1 ให้เพื่อนโอเวอร์แลปโจมตีเร็ว กว่าจะทำได้นาทีที่ 36 พรรษา เหมวิบูลย์ ทั้งที่มาเลย์ไปรับลึก ส่วน ศุภชัย ใจเด็ด โดดเดี่ยวมาก ไม่มีตัวไปเล่นการสร้างสรรค์เกมนี้ ไม่มีเลย วิธีคิดไม่ได้เลย ขณะที่แดนกลาง ขออนุญาตบอกว่า “มีหรือเปล่า” ได้ลงเล่นหรือเปล่า ขยับตัวแบบไหน มาโน ต้องทำการบ้าน
“ครึ่งแรกผมเห็นสีดำมืด ในวงการฟุตบอลไทย” เดอะตุ๊ก กล่าว
ตำนานบอลไทย กล่าวต่อไปว่า แต่ครึ่งหลังชม มาโน โพลกิง เปลี่ยนเร็ว มีมิติมากขึ้น เป็นฟุตบอลมากขึ้น แต่กลายเป็นความเร่งร้อน 5 คนไปอยู่ในแถวไลน์เซ็นตอร์ แต่การยืนเฉยๆ จึงถูกบล็อก ไม่สลับ สอดกัน แต่รูปแบบโจมตี ดี ครึ่งหลังต้องยอมรับว่าโชคชะตาในการยิงประตูเป็นปัญหา
“ตราบใดที่ทีมฟุตบอลไทย ไม่มีโค้ชชกองหน้า มันจะเป็นแบบนี้ตลอดชีวิต ผมเห็นข้างสนามมีแต่คนไม่เป็นกองหน้า ผมรณรงค์มา 2-3 ปี คุณไม่ฟังผม ศุภณัฏฐ์ (เหมือนตา) หลุดเดี่ยว 2 ทีต้องเป็นประตูแล้ว” เดอะตุ๊ก กล่าว พร้อมยกตัวอย่างชื่อ ศรายุทธ ชัยคำดี, พิพัฒน์ ต้นกันยา ที่ควรเอาไปเป็นสตาฟฟ์โค้ช
“ก้าวข้ามอาเซียนก็ไม่ได้ ต้องกลับมาใหม่อีก ขอความกรุณาเชื่อคนในวงการฟุตบอลบ้าง คนไทยเป็นกำลังใจเสมอ แต่อย่าดื้อรั้น ดื้อดึงครับ”.