เมื่อวันที่ 20 ก.ย. รายงานข่าวเปิดเผยว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม บรรยากาศเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีการเชิญรัฐมนตรีที่เป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลพูดคุยนอกรอบ รวมถึงการประชุมไม่ได้มีการพักเบรกด้วย ขณะที่วาระการประชุมส่วนใหญ่เป็นวาระเพื่อพิจารณาปกติ มี 15 เรื่อง และมีวาระจร 11 เรื่อง ทั้งนี้ในช่วงเข้าสู่วาระพิจารณาเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 137.49 ล้านบาท สำหรับจัดทำโครงการจัดเก็บข้อมูลดีเอ็นเอของบุคคลพ้นโทษ พักโทษจากเรือนจำและทัณฑสถาน เพื่อช่วยแก้ปัญหาผู้ที่พ้นโทษ ออกไปกระทำความผิดซ้ำนั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ได้แสดงความเห็นที่ในประชุมว่าอยากให้มีการจัดสรรงบประมาณมากกว่านี้ และอยากเพราะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่ พล.อ.ประวิตร กล่าวตัดบทว่า ให้เอางบประมาณตามที่เสนอขอมาครั้งนี้ไปทำให้ได้ผลก่อน แล้วในอนาคตค่อยว่ากัน

อีกทั้ง ในช่วงการพิจารณากรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2566 ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 นั้น ได้มีรัฐมนตรีบางส่วนแสดงความเห็นในที่ประชุมว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นไปอย่างล่าช้า ส่งผลกระทบกับการดำเนินหลายโครงการมีความล่าช้าด้วย อาทิ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า บางโครงการเป็นโครงการที่ดี แต่กลับติดปัญหาที่มีการอุทธรณ์ในการประมูลหลายรอบ ทำให้เสียเวลาอย่างมาก ไม่ได้เริ่มโครงการนั้นได้ อาทิ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 2 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้วางศิลาฤกษ์เมื่อปี 60 รวมถึงหาผู้ร่วมการประมูลได้ กระทั่งมีผู้ชนะการประมูลในเวลาต่อมา แต่ปรากฏว่ามีผู้ยื่นเรื่องอุทธรณ์ ทำให้ต้องมีการพิจารณากลับไปมาหลายหน จนขณะนี้เวลาผ่านมา 5 ปีแล้ว โครงการนี้ยังไม่ได้เริ่มการก่อสร้างเลย ตนจึงขอให้มีการคิดเรื่องค่าเสียโอกาสของประชาชนและของประเทศจากความล่าช้าดังกล่าว รวมถึงอยากให้กรมบัญชีกลางกำหนดด้วยว่าการอุทธรณ์ในการประมูลสามารถทำได้ไม่เกินกี่ครั้ง และเป็นระยะเวลาไม่เกินกี่วัน ขณะที่ พล.อ.ประวิตร สั่งการให้กระทรวงการคลังรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณา

นอกจากนี้ที่ประชุม ครม. ได้มีการพิจารณาวาระมุมแดงที่มีการเรียกเอกสารกลับคืนหลังเสร็จสิ้นการพิจารณา หลายเรื่อง โดย ครม. มีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณ จากงบกลางเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน วงเงิน 1,321.699 ล้านบาท ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรภายใต้แผนบุคลากรภาครัฐ ประจำปี 65 ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.กองทัพบกวงเงิน 760.445 ล้านบาท 2.กองทัพอากาศ วงเงิน 561.254 ล้านบาท  

อีกทั้งเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรม เสนอขอทบทวนปรับปรุงมติ ครม. เกี่ยวกับกรอบวงเงินงบประมาณ 796.67 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการระงับข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทย กับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ในกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้ ม.44 สั่งปิดเหมืองทองคำอัครา จ.พิจิตร ตั้งแต่ปลายปี 59 โดยที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการขยายเวลากรอบวงเงินงบประมาณดังกล่าว จากเดิมที่กำหนดปีงบประมาณ 60-64 ขยายไปเป็นสิ้นสุดปีงบประมาณ 60-66 ส่วนวงเงินงบประมาณเป็นจำนวนเท่าเดิม ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่าคณะอนุญาโตตุลาการเลื่อนการอ่านคำชี้ขาดไปเป็นวันที่ 31 ธ.ค.65 ซึ่งระหว่างนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับบริษัท คิงส์เกตฯ โดยยังมั่นใจว่า ฝ่ายไทยจะสามารถเจรจาเพื่อระงับข้อพิพาทดังกล่าวได้สำเร็จ