เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา “บิ๊กก้อง” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เป็นประธานการประชุมสรุปผลการดำเนินงานประจำปี 2565 และแผนดำเนินการประจำปี 2566 ตามยุทธศาสตร์สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย ที่โรงแรมแกรนด์ โฟร์วิง คอนเวนชั่น โดยมีผู้บริหารของ กกท. คีย์แมนวงการกีฬาไทย ตลอดจนผู้แทนสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาแห่งจังหวัด เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ผู้แทนจากสมาคมกีฬาต่างๆ ได้อภิปรายเกี่ยวกับปัญหาของพัฒนากีฬา ตลอดจนเสนอแนวทางการแก้ไข เพื่อที่ กกท. จะได้นำไปดำเนินการ ร่วมกันพัฒนาการกีฬาของประเทศให้ดียิ่ขึ้นต่อไป โดย ดร.วิจิตร สิทธินาวิน นายกสมาคมกีฬาไตรกีฬา และกรรมการบริหาร คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า ปัจจุบันนี้งบประมาณด้านการกีฬามีมากขึ้น แต่กลับค้างจ่าย (เงินค้างท่อ) เป็นจำนวนมาก

“ในปีนี้ถือว่าสาหัสมากที่สุด จากการบริหารจัดการของกองทุนพัฒนากีฬาการกีฬาแห่งชาติ ที่สับสนวุ่นวายและขัดต่อแผนแม่บท (พ.ร.บ.การกีฬา 2558) โดยเฉพาะโครงสร้างที่กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ดูเหมือนจะมีอำนาจเหนือกว่าและเป็นอิสระจาก กกท. ทั้งที่ความจริงแล้ว ผู้จัดการกองทุนฯ ควรจะอยู่ในฐานะเทียบเท่าผู้อำนวยการกอง และต้องอยู่ภายใต้รองผู้ว่าการ ฝ่ายบริหาร กกท. ที่มี ผู้ว่าการ กกท. เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด จึงจะเป็นโครงสร้างที่ถูกต้อง ซึ่งที่ผ่านมาเกิดความเข้าใจผิดในด้านอำนาจหน้าที่ และมองว่า กกท. ในฐานะเลขานุการบอร์ด กกท. และบอร์ด กองทุนฯ ควรได้บริหารเงินงบประมาณนี้เอง เพื่อการพัฒนาของกีฬาชาติอย่างแท้จริงต่อไป” ทนายวิจิตร กล่าว

นายธรรมวัฒน์ วงศ์เจริญยศ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ปัญหาของสมาคมกีฬาแห่งจังหวัด คือการเบิกเงินได้ยากลำบากมาก โดยเฉพาะปีงบประมาณ 2565 เจ้าหน้าที่ ไม่สามารถเข้าใจขั้นตอนการเบิกจ่ายได้เลย โดยเฉพะงบประมาณ 300 ล้านบาท ที่ได้เสนอไปแล้ว ขณะนี้เบิกจ่ายไปได้แค่ 15 ล้านบาท เท่านั้น โดยการจัดการแข่งขันกีฬาชิงแชมป์ประเทศไทย ที่จังหวัดต่างๆ จะเป็นเจ้าภาพนั้น ไม่มีจังหวัดไหนอยากจะจัดแล้ว เพราะกลัวว่าจัดแข่งขันไปแล้ว จะไม่ได้เงิน อยากให้ ผู้ว่าการ กกท. พิจารณา เรื่องกระบวนการจ่ายงบประมาณตรงนี้ รวมทั้งอยากให้จัดทำคู่มือการเบิกจ่ายให้พวกเราได้ดำเนินการอย่างเข้าใจและถูกต้อง จะได้ไม่เกิดปัญหาเช่นนี้อีกต่อไป

ขณะที่ “บิ๊กเอ” ผศ. พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตนทำงานตรงนี้มา 20 ปี ไม่เคยเจอปัญหาในการเบิกจ่ายงบประมาณแบบนี้มาก่อน ตนมองว่านี่คือยุคมืดของวงการกีฬา และมันเป็นเรื่องคับใจของสมาคมกีฬาต่างๆ อย่างมาก ตอนนี้ภาครัฐเป็นหนี้สมาคมกีฬาเทควันโดฯ อยู่ 13 ล้านบาท ซึ่งไม่เคยเป็นขนาดนี้มาก่อน ตนกำลังจะกระเป๋าฉีก แล้วสมาคมกีฬาที่เล็กกว่าสมาคมกีฬาเทควันโดฯ จะเป็นอย่างไร ก็ลองคิดดูก็แล้วกัน นี่เป็นปัญหาของทุกคน ภาครัฐอยากให้เราเน้นเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬา อยากให้เราคว้าเหรียญมามากๆ แต่แค่งบประมาณซื้ออาหารเสริมให้นักกีฬาไม่กี่หมื่นบาท เวลานี้ยังเบิกจ่ายไม่ได้เลย สมาคมฯ เอง ตอนนี้ก็ไม่มีงบส่งนักกีฬาได้ตามจำนวนที่ต้องการ โดยเฉพาะนักกีฬาเยาวชนที่สมาคมฯ จะพัฒนาเพื่อก้าวขึ้นมาทดแทนนักกีฬาอย่าง “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ฮีโร่เหรียญทอง โอลิมปิกเกมส์ ก็แทบจะไม่มีแล้ว

“ผมเองไม่รู้หรอกว่า กกท. หรือ กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จะมีปัญหากันภายในกันอย่างไร แต่ผมมองไปที่ผู้ว่าการ กกท. จะดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้อย่างไร่ต่อไป” บิ๊กเอ ย้ำ

ทางด้าน ดร.ก้องศักด กล่าวว่า แม้ตนจะได้ต่อสัญญาเป็นผู้ว่าการ กกท. อีก 4 ปี แต่ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ก็อยู่ไม่ครบวาระ 4 ปีข้างหน้าแน่นอน ตรงนี้ผู้จัดการกองทุนฯ ก็มองเห็นถึงปัญหานี้ และพร้อมจะรับฟังข้อมูลไปปรับปรุงและหาทางออกร่วมกัน เพื่อปลดล็อกปัญหาเหล่านี้ ถ้าตนแก้ปัญหาไม่ได้จะลาออกเอง ไม่ต้องไล่เพราะไม่สามารถช่วยให้วงการกีฬาของไทยให้เติบโตได้.