จัดเป็นอีกหนึ่งหนุ่มสุดฮอตที่ดังและปังไกลไปทั่วโลกสำหรับหนุ่ม มิว-ศุภศิษฏ์ ที่วันนี้เจ้าตัวมีคนรักและชื่นชอบมากมาย รวมถึงกลายเป็นตัวอย่างดีๆให้กับแฟนๆได้เดินหน้าตามทั้งเรื่องเรียนและงานเพื่อสังคม ล่าสุดหนุ่มมิวได้เดินทางไปพูดคุยในรายการคุยแซ่บSHOW พร้อมเล่าเรื่องที่ตนเองเคยโดยวิจารณ์จนไม่กล้าดูโซเชียลและอัพเดทเรื่องความรักของตนเองอีกด้วย

มิว เผยว่า “เรื่องการเปิดสตูดิโอเพลงคือหลังจากที่โควิดมามันจะมีช่วงล็อกดาวน์แรกๆ ที่เราได้มานั่งทบทวนตัวเองว่ามันยังมีอะไรที่ยังอยากทำอยู่แต่ยังไม่ได้ทำ ซึ่งผมคิดว่าที่จะทำได้ในตอนนั้นคือการร้องเพลง อยากทำเพลง ก็เลยรู้สึกว่า ถ้าจะทำเพลงก็ควรจะเปิดค่ายขึ้นมาเพื่อจะดูแลเราคนเดียวเพื่อที่จะเป็นศิลปิน  ผมเห็นจากเพื่อนหลายๆ คน เขาจะโดนค่ายเซตอะไรบางอย่างมา เพราะมันเป็นแผนงานของเขา ซึ่งเราอยากทำเพลงที่เป็นตัวเราจริงๆ ทั้งตัวเนื้อเพลง ตัวเอ็มวี สไตล์ต่างๆ คือเราอยากทำเองหมดเลย อยากมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน คือถ้าเราอยู่ค่ายก็ต้องทำตามเขาส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเราสามารถทำเองได้ มันก็เป็นผลงานของเราก็เลยคิดว่าทำเองดีกว่า
เวลาเจออุปสรรคอย่างแรกเลยคือเรามีคนมากมายคอยซัพพอร์ตเรา รักเรา เราไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง ไม่อยากไปทำลายความรักของเขา ไม่อยากดูถูกความรักที่เขาให้เรามา งานทุกอย่างมันมีเหนื่อยอยู่ แต่ถ้าเราล้มเลิกไป แล้วคนที่คอยให้ความรักเรามา คอยซัพพอร์ตเรา เขาจะติดตามเราจากไหน แล้วเขาจะเติมพลังใจของเขาได้อย่างไร เพราะเราเป็นพลังใจของเขาจริงๆ เราก็เลยรู้สึกว่าเราล้มได้แต่ต้องลุกให้เร็วที่สุด เราเหนื่อยได้ แต่ต้องฟื้นให้เร็วที่สุด และต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอเพื่อตอบแทนสิ่งที่เขาให้มาโดยตลอด”

“ตอนเจอมรสุมเปิดค่ายเพลงไม่เสพโซเชียลเลยคือตอนนั้นเรานอยด์มากๆ และห่วงแฟนๆของเรามาก ๆ ช่วงนั้นไม่เสพโซเชียล ลบแอดทวิตเตอร์เลยช่วงนั้น จะได้ไม่ต้องเข้าไปดู เอาจริงๆบทเรียนที่ได้รับจากการวิจารณ์ของคน อย่างแรกคือเราห้ามคนวิจาร์ณไม่ได้ เพราะเราเลือกมาอยู่ในจุดที่มีคนคนวิจารณ์อยู่แล้ว วงการบันเทิงเป็นงานศิลปะ งานศิลปะอยู่ที่เทสท์ของแต่ละคนอยู่แล้ว เรื่องคำวิจารณ์มันมีอยู่แล้ว ถ้าคำวิจารณ์มันเพื่อปรับปรุงพัฒนาเรา เราจะเก็บไว่พัฒนาตัวเอง แต่ถ้าอันไหนเป็นการสาดอารมณ์ใส่เรา เรารู้สึกว่าเราปล่อยไปดีกว่าเพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย อันนี้คืออย่างแรก อีกอย่างหนึ่งคือในทุกๆ วงการคนที่มีความสามารถเท่านั้นถึงจะอยุ่รอด สุดท้าย ถ้าเราหยุดพัฒนาตัวเองมันจะมีคนที่จะมาแซงเรา จะมีคนที่จะมาแทนเราอยู่เสมอ เราต้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ เติมสกิลให้เราเก่งขึ้น”

มิว เล่าต่อว่า “เรื่องความรักในอดีตเคยอกหัก(ยิ้ม) ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอกหัก อาจจะเป็นเพราะจีบใครไม่เป็นสักเท่าไหร่ ตอนอกหักก็มีเหมือนกัน ที่เปิดเพลงเศร้า มีคารีเนตแล้วก็เป่า สาวๆ ที่บอกเลิกส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าเข้ากันไม่ได้ ซึ่งเราก็รู้แหละว่าเราเข้ากันไม่ได้จริงๆ เพราะบางทีเราอยากได้อย่างหนึ่งเขาอยากได้อย่างหนึ่ง สุดท้าย ก็ไม่มีใครลดหย่อนเข้าหากัน ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ปัจจุบันก็โสด โสดมาหลายปีอยู่เหมือนกัน เพราะตอนที่งานหนักมากๆ เราก็จะจริงจังกับงาน แล้วคนที่เราคุยอยู่เขาเป็นรองเรื่องงาน เขาคงจะไม่ค่อยแฮปปี้ ผมก็เลยเกรงใจเขา แล้วก็รู้สึกว่าเราไม่มีเวลาให้เขา ก็เลยยังไม่พร้อม สเปกสาวๆตอนเด็กๆ ก็คิดว่าตัวเล็กๆ ขาวๆ น่าจะเข้ากับเราได้ แต่ปัจจุบันเราเปิดกว้างขึ้นมากๆ คือถ้าเป็นใครที่พร้อมจะเติบโตไปกับเรา เข้าใจเรา ถ้ามีปัญหาอะไรแล้วมานั่งทำความเข้าใจกัน ก็โอเคแล้ว”

“ในปัจจุบันผมโสดนะ แต่เพลงใหม่แต่งให้ผู้หญิงคนนึง (ยิ้ม) เพลงนี้แต่งให้อาม่า ตอนที่เริ่มแต่งเพลงนี้ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวทะเล ได้ไปดำน้ำ แล้วคิดว่าถ้าเราได้แต่งเพลงอยากแต่งเพลงที่เกี่ยวกับการจมลงไปจังเลย เพราะว่าเราชอบความรู้สึกที่ได้ดำลงไปในน้ำ แล้วก็นึกว่าถ้าเล่าเรื่องการจม เราจะเล่าเรื่องอย่างไรให้มีดูแล้วอบอุ่นต้องทำอย่างไรดี ก็เลยนึกว่าถ้ามันเป็นการจมไปในความทรงจำล่ะ ความทรงจำดีๆ ของใครคนหนึ่งที่บางครั้งเราอาจจะไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว มันทำให้ความรู้สึกเหล่านี้เรารู้สึกถึงอาม่าก่อนเป็นคนแรก เพราะอาม่าเสียไปได้ 5 ปีแล้ว แต่เวลาที่เราเหนื่อย เวลาที่เราเศร้า เวลาที่เราท้อ เราก็จะนึกถึงภาพตอนที่เขาอยู่ด้วย แค่โมเมนต์ง่ายๆ ในเอ็มวี แค่เขาทำข้าวผัดให้เรา นึกถึงตอนที่เขาทำโกโก้ให้เรากินตอนเช้า ตอนที่เขาคอยโอ๋เราเวลาที่เราเสียใจ ก็มีความสุขแล้วกระแสตอบรับดีผมก็ดีใจมากๆ เสียใจอย่างหนึ่งที่เราไม่ได้ทำตรงนี้ตอนที่เขายังอยู่ และเหตุผลหนึ่งที่ผมยังโกออนในเส้นทางนี้อยู่ เพราะตอนที่เขาเสียผมรู้สึกว่าเรายังไม่มีผลงานจริงๆ จังๆ ให้เขาดูเลย แม้ตอนนี้ผมจะไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ไหนแล้ว เพราะเขาเสียไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่รูปแบบไหน เขาเกิดใหม่หรือเปล่าเราก็ไม่รู้ แต่ถ้าเรามีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ จนไปถึงเขาได้ มันก็คงจะดีมากๆ”