นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างประเทศว่า จากการสำรวจหอการค้าต่างประเทศประจำประเทศไทย 35 ประเทศ รวม 70 ราย ระหว่างเดือน พ.ค.-ก.ค. หรือในไตรมาสที่ 2 ของปี 64 ภาพรวมกว่า 80% ของกลุ่มตัวอย่าง มีความคิดเห็นต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีทิศทางที่แย่ลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งภาวะเศรษฐกิจไทย กำลังซื้อในประเทศ การลงทุนจากต่างประเทศ นโยบายเศรษฐกิจไทย สถานการณ์การท่องเที่ยวภายในประเทศไทย มุมมองต่อภาคบริการของไทย สภาพการจ้างงาน และมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า เมื่อเทียบกับปัจจุบันก็ยังแย่ลงและจะไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม

ทั้งนี้ประเด็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่กลุ่มตัวอย่างต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ การบริหารจัดการวัคซีนที่ล่าช้าไม่เป็นไปตามกำหนดและไม่วัคซีนไม่เพียงพอ การระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ที่รุนแรงกระจายไปทั่วประเทศและควบคุมไม่ได้ การเข้าถึงแหล่งทุนที่ที่ลำบากทำให้เอกชนขาดสภาพคล่อง การว่างงานจนส่งผลต่ออำนาจการซื้อ ข้อจำกัดและมาตรการที่เข้มงวดในการรับมือโควิดเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและประกอบธุรกิจ ธุรกิจท่องเที่ยวซบเซาและการปิดประเทศทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางเข้ามาไทยได้ เป็นต้น

ขณะที่ผลการสำรวจด้านธุรกิจในภาพรวมในปัจจุบันเพื่อเทียบกับปีก่อนพบว่าส่วนใหญ่แย่ลงทั้งรายได้ของธุรกิจ ราคาสินค้าและบริการ คำสั่งซื้อสินค้าและบริการ ผลกำไร การลงทุน ค่าใช้จ่าย สภาพการจ้างงาน สภาพคล่องธุรกิจ เป็นต้น และยังเห็นว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้าเมื่อเทียบกับปัจจุบันก็ยังเห็นว่าสถานการณ์ในด้านต่าง ๆ ก็ยังแย่ลงและยังแย่เท่าเดิม โดยประเด็นปัญหาของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่คือคำสั่งซื้อจากในและต่างประเทศลดลง ธุรกิจขาดสภาพคล่อง สถานการณ์โควิดที่ยังควบคุมไม่ได้ เป็นต้น

นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า จากผลสำรวจดังกล่าวทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างประเทศภาพรวมในไตรมาส 2 ปี 64 อยู่ที่ 28.5 ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 64 ที่อยู่ในระดับ 31.8 ซึ่งถือว่าต่ำกว่า 50 อย่างมาก และไม่มีดัชนีใดทั้งในปัจจุบัน อนาคตสูงกว่าระดับ 50 และยังไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้นและกลุ่มตัวอย่างยังย้ำว่าต้องการให้รัฐบาลจัดสรรวัคซีนให้ประชาชนเพราะมองว่าประเทศไทยยังมีการระบาดที่รุนแรงและนักธุรกิจต่างชาติไม่มั่นใจในการไขปัญหาการระบาดของโควิด และให้เอกชนเข้าถึงซอฟต์โลน และมองว่าปีนี้เศรษฐกิจของไทยน่าจะติดลบหากรัฐบาลแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิดไม่ได้

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้การรระบาดของโควิด-19 ได้สร้างปัญหาให้กับภาวะเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมากทางหอการค้าได้จัดให้มีศูนย์ฉีดวัคซีนถึง 25 ศูนย์ และอยากเชิญชวนให้ประชาชนมาฉีดวัคซีนให้เต็มจำนวนโดยในเดือนส.ค.นี้ได้รับการจัดสรรวัคซีนถึง 7.5แสนโดส ซึ่งการฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ70% หรือ 50 ล้านคนก่อนสิ้นปีก็จะช่วยแก้ไขปัญหาการระบาดได้

“การจัดหาวัคซีนต้องทำให้เร็วกว่านี้มาก ๆ ส่วนวัคซีนทางเลือกต้องให้เอกชนมีส่วนร่วมมากกว่านี้ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีประสานกับภาคเอกชนแล้วว่าหากใครช่องทางใด หรือมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนก็พร้อมเปิดให้เอกชนดำเนินการเป็นตัวเชื่อมให้กับรัฐบาลได้ ซึ่งที่ผ่านมายอมรรับว่ามีความเข้าใจที่ผิดพลาดไป โดยเฉพาะเรื่องวัคซีนแอสตร้าซิเนก้าที่เข้าใจว่าตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นไปจะมีวัคซีนที่ผลิตในเมืองไทยไม่ต่ำกว่า 10 ล้านโดส แต่รัฐบาลได้ชี้แจงว่าเราได้รับเพียง 30% ของกำลังการผลิตในในเมืองไทย ฉะนั้นการผลิตในไทยเพียง 15 ล้านโดส ดังนั้นก็เท่ากับว่าไทยจะได้รับวัคซีนเพียง 5 ล้านโดสต่อเดือน  ดังนั้นจำนวนที่ผิดเป้าก็ประมาณ 5 ล้านโดส ซึ่งรัฐบาลก็พยายามสรรหาวัคซีนต่าง ๆมาชดเชย และเอกชนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในการจัดหาวัคซีนซึ่งคณะกรรมการร่วมเอกชน (กกร.) จะนำไปหารือกับนายกฯอีกครั้งถึงแนวทางการนำเข้าวัคซีน” นายสนั่น กล่าว

นายสแตนลี่ย์  คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า ไตรมาส  3 และ4 ไทยยังมีโอกาสของการส่งออกที่จะทำได้ดีมากขึ้น เพราะค่าเงินบาทอ่อนลงตัวเหลือ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ต้องควบคุมการระบาดของโรคในโรงงานให้ได้ เพราะขณะนี้ตลาดสหรัฐที่มีการฟื้นฟูจากการระบาดมีคำสั่งเข้ามาในไทยจำนวนมาก และคำตอบของการป้องกันการระบาดของโรคได้ก็คือวัคซีน ทำอย่างไรจึงจะมีวัคซีนเข้ามาให้ประชาชนได้มากที่สุด ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด และหอการค้าต่างประเทศก็สนับสนุนโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกที่จะเอื้อให้นักธุรกิจสามารถบินเข้ามาในไทยโดยไม่ต้องกักตัว

“เรายังมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยอยู่ปีนี้การลงทุนผ่านบีโอโอไอที่ 200%ทั้งภาครัฐและเอกชนก็ร่วมมือกันอย่างเต็มที่ แต่ก็ยอมรับว่ามีเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบโดยเฉพาะในภาคธุรกิจท่องเที่ยวจนต้องปิดกิจการ แต่ก็พยายามจะปรับตัวเพื่อหาทางรอด ร่วมกันซึ่งที่ผ่านมาก็ส่งสัญญาณต่าง ๆ ไปยังรัฐบาลตลอดเวลาอยู่แล้ว”