สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ว่า พล.ร.ต.จอห์น เคอร์บีย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ กล่าวเมื่อวันจันทร์ ว่ารัฐบาลวอชิงตันมีความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อ "ศักยภาพ" ของกองทัพอัฟกานิสถาน ในการต่อสู้กับกลุ่มตาลีบัน 
อย่างไรก็ตาม การสู้รบระหว่างกองกำลังฝ่ายความมั่นคงของอัฟกานิสถานและกลุ่มตาลีบันจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการกำหนดทิศทางโดยรัฐบาลคาบูลและชาวอัฟกัน และยอมรับว่า ตอนนี้กองทัพสหรัฐ "ทำอะไรไม่ได้มาก" แม้ทหารจำนวนหนึ่งยังประจำการอยู่ แต่กำลังจะถึงกำหนดการถอนกำลังพลภายในวันที่ 31 ส.ค.นี้
ขณะที่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของรัฐบาลวอชิงตันเปิดเผยกับสื่อหลายแห่ง ว่าบรรดาเสนาธิการทหารเคยเตือนประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อต้นปีนี้ ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เมืองเอกของหลายจังหวัดในอัฟกานิสถาน จะตกเป็นของกลุ่มตาลีบัน หลังการถอนทหารของสหรัฐ แต่สถานการณ์ในพื้นที่ ณ เวลานี้ "เหนือความคาดหมาย" เนื่องจากกลุ่มตาลีบันรุกคืบยึดพื้นที่ได้เร็วและ "ง่ายดาย" มากกว่าที่มีการประเมินก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ กลุ่มตาลีบันเปิดฉากปฏิบัติการภาคพื้นดินอย่างหนักหน่วง ตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา หรือภายในเวลาไม่นานหลังกองทัพสหรัฐประกาศเริ่มการถอนทหาร และสามารถยึดเมืองเอกของอย่างน้อย 6 จังหวัด ได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว หนึ่งในนั้นคือเมืองคุนดุซ เมืองเอกของจังหวัดคุนดุซ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน และเป็นหนึ่งในเส้นทางโลจิสติกส์สายสำคัญที่เชื่อมต่อกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียกลาง  
ส่วนเมืองล่าสุดที่ยึดได้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คือเมืองเอย์บัค ในจังหวัดซามังกัน ซึ่งอยู่ทางเหนือเช่นกัน ด้านนายเบน วอลเลส รมว.กลาโหมของสหราชอาณาจักร กล่าวถึงข้อตกลงโดฮา ที่สหรัฐและกลุ่มตาลีบันลงนามร่วมกัน เมื่อเดือน ก.พ.ปีที่แล้ว "เปล่าประโยชน์" และเผยด้วยว่า สหราชอาณาจักรขอให้องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ( นาโต ) คงกำลังทหารบางส่วนไว้ในอัฟกานิสถานต่อไปก่อน แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะได้ผลหรือไม่.

เครดิตภาพ : AP