ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจภาคสนาม เพื่อประเมินโครงการสนับสนุนเอสเอ็มอี รายย่อย ที่เปิดรับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.63–31 มี.ค.64 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนเอสเอ็มอี รายย่อย ที่ประสบปัญหาทางการเงินให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ของ สสว. ดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 5,000 ล้านบาท มีเป้าหมายสำคัญ 3 ประการ คือ 1.เพื่อเสริมสภาพคล่อง สร้างรายได้ 2.เพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพการผลิตหรือการให้บริการ และ 3. เพื่อรักษาการจ้างแรงงานในภาวะวิกฤติ 

ทั้งนี้ ในการอำนวยสินเชื่อดังกล่าว สสว. ได้มอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งภาพรวมของโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อยครั้งนี้ มีจำนวนผู้ยื่นขอกู้ทั้งสิ้น 7,142 ราย วงเงิน 8,107 ล้านบาท และมีผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติเงินกู้จำนวน 2,285 ราย วงเงิน 3,676.30 ล้านบาท ประเด็นแรก การประเมินเป้าหมายของการเสริมสภาพคล่องและเพิ่มรายได้ พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หรือ 59.3% ระบุว่าเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติ มีผลต่อกิจการโดยทำให้รายได้ดีขึ้น ผู้ประกอบการ 26.2% ระบุว่า เงินกู้ทำให้รายได้ดีขึ้นค่อนข้างน้อย ขณะที่ผู้ประกอบการ 14.5% ระบุเงินกู้ที่ได้รับมีผลต่อกิจการโดยทำให้รายได้ดีขึ้นมาก เมื่อสอบถามว่า เงินกู้ที่ได้รับส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวต่อปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด พบว่าผู้ประกอบการ 73.5% ระบุประโยชน์ที่ได้รับจากการได้รับอนุมัติเงินกู้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น 16.5% ระบุ เหมือนเดิม ในขณะที่ 10% ระบุ แย่ลง 

ในประเด็นที่ 2 การสำรวจว่าผู้ประกอบการนำเงินกู้ไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตหรือการบริการในด้านใดบ้าง พบว่า ผู้ประกอบการส่วนมากหรือ 49.0% ระบุว่านำเงินกู้ไปใช้จัดหาวัสดุ/อุปกรณ์ 43.5% ระบุว่านำเงินไปลงทุนการผลิต 34.1% ระบุว่านำเงินไปเพิ่มการจ้างงาน 26.5% ระบุนำเงินไปใช้พัฒนาแรงงาน 23.1% ระบุนำเงินไปเสริมเทคโนโลยีใหม่ ที่น่าพิจารณา คือ จากการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการระหว่างก่อนการได้รับเงินกู้และภายหลังจากการได้รับเงินกู้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.7 ระบุประสิทธิภาพในการผลิตหรือการบริการเพิ่มขึ้น ร้อยละ 19.6 ระบุเท่าเดิม และร้อยละ 6.7 ระบุลดลง          

ในประเด็นที่ 3 การประเมินว่าเงินกู้ที่ได้รับจากโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ช่วยรักษาการจ้างงานได้หรือไม่ อย่างไร พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หรือ 91.8% ระบุว่าการได้รับเงินกู้ทำให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาการจ้างงานได้เท่าเดิมถึงเพิ่มขึ้น ขณะที่  8.2% ระบุว่าการจ้างงานลดลง 

ดร.นพดล กล่าวอีกว่า ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การดำเนินโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อยสามารถบรรลุเป้าหมายในการช่วยรักษาสถานภาพการประกอบการ แม้โครงการนี้ได้เริ่มดำเนินการในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ซึ่งขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะรุนแรง  ดังเช่นที่เกิดอยู่ในขณะที่ทำการสำรวจ แต่ผลการสำรวจเพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการฯ พบว่า แม้ผู้ที่ได้รับอนุมัติเงินกู้ไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพหรือสร้างรายได้ตามที่ตั้งความหวังไว้ แต่ก็ยังได้ใช้เงินกู้เป็นทุนหมุนเวียนและสามารถรักษาการจ้างงานได้ระดับหนึ่ง 

“ผู้ประกอบการเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของนโยบายการอำนวยสินเชื่อเพื่อสนับสนุน SMEs รายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินเชื่อสำหรับวิสาหกิจรายย่อย ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 85% ของผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ สสว. ในการนี้ มีข้อเสนอเพิ่มเติมว่าควรมีการกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของโครงการให้ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะสำหรับวิสาหกิจรายย่อยที่อาจมีความเปราะบางกว่าผู้ประกอบการกลุ่มอื่นๆ”