เมื่อวันที่ 15 ก.ค. พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น เปิดเผยว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 65 เวลาประมาณ 09.30 น. เกิดเหตุมีคนร้ายใช้ระเบิดชนิดลูกเกลี้ยงเป็นอาวุธจับตัวนางสุวรรณ ตาแสงนา อายุ 54 ปี เป็นตัวประกัน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ปืนยิงคนร้าย ขณะที่คนร้ายกำลังพยายามจะใช้ระเบิดลูกเกลี้ยง ที่นำมาด้วย ขว้างไปที่ตัวประกันที่วิ่งหลบหนีและเสียหลักล้มลง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถช่วยเหลือตัวประกันได้อย่างปลอดภัย เหตุเกิดที่ปากซอยชุมชนเทพารักษ์ 4 ถนนหลังศูนย์ราชการ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ทราบว่าคนร้ายคือ นายสุนทร สานนท์ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9 หมู่ 8 ต.ขัวก่าย อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร

เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วปรากฏว่าคนร้ายไม่ใช่ นายสุนทร สานนท์ ตามที่แจ้งให้ทราบในเบื้องต้นแต่อย่างใด จากการตรวจสอบจากลายพิมพ์ลายนิ้วมือของคนร้ายตรงกับประวัติต้องโทษในความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ข้อหา เสพยาบ้า ของ นายสุรพล (สงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 290 หมู่ที่ 7 ต.เขาเพิ่ม อ.บ้านนา จ.นครนายก ถูกดำเนินคดีข้อหาเสพยาบ้าในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ สภ.บางปลาม้า ภ.จว.สุพรรณบุรี ต่อมา สภ.เมืองขอนแก่น ประสานไปยัง สภ.บ้านนา จ.นครนายก เพื่อทำการตรวจสอบที่บ้านข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของนายสุรพล

ด่วน! หนุ่มคลั่งถูกตำรวจเรียกค้น จับชาวบ้านเป็นตัวประกัน ในมือถือระเบิดลูกเกลี้ยง

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจของ สภ.บ้านนา ได้ไปสอบถามข้อมูลจาก ผช.ผญบ.หมู่ 7 ต.เขาเพิ่ม อ.บ้านนา จ.นครนายก ทราบข้อมูลว่า บ้านเลขที่ 290 หมู่ 7 ปัจจุบันไม่มีบ้านหลังดังกล่าวแล้ว คงเหลือแต่เพียงบ้านเลขที่ในข้อมูลสารบบส่วนบุคคลในบ้านหลังดังกล่าว ทั้งบิดา มารดา พี่น้อง ของนายสุรพล ปัจจุบันเสียชีวิตหมดแล้ว คงเหลือนายสุรพลเพียงผู้เดียว โดยทราบข้อมูลว่า นายสุรพลมีอาการทางประสาทมานานแล้ว จึงใช้ชิวิตเร่ร่อน ไม่ได้กลับมาที่ ต.เขาเพิ่ม อ.บ้านนา จ.นครนายก เป็นเวลานาน โดยที่ผ่านมาไม่มีใครทราบว่านายสุรพลไปอยู่ที่ใด

พ.ต.อ.ปรีชา กล่าวว่า ขณะนี้อาการของคนร้ายที่ถูกยิงนั้น กระสุนเข้าที่ลำคอทะลุท้ายทอย อาการสาหัสยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ โดยยังอยู่ในการดูแลของแพทย์โรงพยาบาลขอนแก่น ภายหลังจากที่ทางแพทย์ทำการรักษาจนคนร้ายสามารถให้การได้ ทางพนักงานสอบสวนก็จะทำการสอบปากคำดำเนินคดีในเบื้องต้น 3 ข้อหา คือ หน่วงเหนี่ยวกักขัง ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน และความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุระเบิด ตามขั้นตอนต่อไป

ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุ นางไพรัตน์ พงษ์สิงห์ อายุ 50 ปี เจ้าของร้านขายของชำ เล่าว่า วันเกิดเหตุตนเองก็เห็นชายเร่ร่อนถูกตำรวจขอค้น จากนั้นได้วิ่งข้ามถนนมาฝั่งร้านตนเอง ก่อนที่ตำรวจจะบอกให้บ้านทุกหลังปิดร้าน เพราะเนื่องจากชายเร่ร่อนจะพยายามหาตัวประกัน แต่บ้านทุกหลังได้ปิดก่อนที่ชายเร่ร่อนจะไปร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ เพราะร้านยังเปิดให้บริการ ก่อนจะจับหญิงวัย 52 ปี เป็นตัวประกันและถูกตำรวจยิงสกัดภายหลัง ชายเร่ร่อนคนดังกล่าวตนเองเห็นหน้ามาประมาณ 2 ปี และจะมาซื้อของที่ร้านเป็นประจำ โดยจะซื้อน้ำกับกาแฟกระป๋องเป็นส่วนใหญ่ เมื่อไม่มีเงินก็จะขอเซ็นไว้ จากนั้นก็จะมาจ่ายเงิน ไม่เคยซื้อสุราไปดื่มเหมือนคนเร่ร่อนรายอื่น ส่วนสำเนียงที่พูดจะเป็นภาษากลาง ไม่ใช่ภาษาอีสาน

ส่วนด้าน น.ส.อมรรัตน์ ตั้งภิรมย์ เจ้าของร้านรับซื้อของเก่า ชุมชนเทพารักษ์ บอกว่า ชายเร่ร่อน เป็นลูกค้าประจำร้านตนเองนานกว่า 1 ปี ซึ่งจะนำขวด พลาสติก กระดาษ มาขายให้ และจะมีบางครั้งจะหายไปประมาณ 2 ถึง 3 วันก็จะกลับมา พร้อมสิ่งของที่มาขาย ซึ่งชายเร่ร่อนเวลามาขายจะพูดจาดีมีครับตลอดเวลา จะไม่เหมือนคนเร่ร่อนรายอื่นๆ ที่จะมีอาการเมามา และจะพูดไม่เพราะ หลังจากที่ทราบข่าว ตนเองก็ตกใจเช่นกัน และยิ่งเหตุมีวัตถุระเบิด ทำให้ตนเองก็ต้องระมัดระวังตัวกับกลุ่มคนเร่ร่อน ที่นำของรีไซเคิลมาขาย