เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ ต.โคกสูง อ.ปลาปาก จ.นครพนม นายสุรินทร์ คุยพร ประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรสว่างภูมีพัฒนา จำกัด เปิดเผยว่า สมาชิกสหกรณ์ฯ ได้มีการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาใช้ในการดำรงชีวิตและการบริหารงาน ทำให้ทุกคนรู้จักการบริหารจัดการเวลา ที่ดิน การอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด โดยหนึ่งในนั้นก็คือการจับปูนามาเลี้ยงเพื่อจำหน่าย ซึ่งปูนาถือเป็นศัตรูพืชตัวร้ายของข้าว เพราะชอบไปกัดกินต้นข้าวที่ปักดำใหม่ ๆ ทำให้ต้นข้าวขาดและตายก่อนที่จะตั้งต้นและแตกกอได้ อีกทั้งปูนายังชอบขุดรูตามคันนา ทำให้คันนาไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้

หากย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยอดีต พ่อแม่ ปู่ยา ตายาย ชาวนาก็มีวิธีกำจัดแตกต่างกันไป เช่น การนำมันสำปะหลังมาหั่นและหว่านไว้ตามแปลงนาเพื่อให้ปูนามากัดกินแทนต้นข้าว ซึ่งสารพิษที่อยู่ในหัวมันจะทำให้ปูนาตายลงในที่สุด หรือจะใช้กิ่งสะเดาสดวางไว้บริเวณที่มีปูนาชุกชุม ก็จะสามารถไล่ปูนาไม่ให้เข้ามาในบริเวณนาข้าวได้เหมือนกัน หรือแม้แต่การจับปูนามาทำปุ๋ยไคโตซานบำรุงพืช เพราะปูนามีสารไคตินสูงกว่าสัตว์เปลือก สัตว์กระดองชนิดอื่นๆ และที่คนทั่วไปเห็นอยู่ประจำก็คือการนำมาเป็นเครื่องปรุง ส้มตำ ที่เป็นเมนูยอดฮิตของคนไทยและคนอีสาน

ดังนั้นสมาชิกสหกรณ์ฯ จึงมองเห็นเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนศัตรูพืชตัวฉกาจ มาเป็นรายได้ให้กับทุกคน ทั้งเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่ให้ปูนาสูญพันธุ์ไปด้วย จึงจับปูนามาเลี้ยงเพื่อเพาะพันธุ์และจำหน่ายให้กับพ่อค้าที่รู้จักที่จะมารับถึงที่ ถือเป็นรายได้เสริมเพิ่มเติมจากการทำนาและการทำการเกษตรอื่น ๆ โดยช่วงนี้ราคาจะอยู่ที่ กก.ละ 30-40 บาท เพราะปูนามีอยู่ทั่วไป แต่ถ้าถึงเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเท่าตัวไปอยู่ที่ กก.ละ 60-70 บาทเลยทีเดียว

สำหรับการเลี้ยงก็ไม่ได้ยุ่งยาก เพราะปูนากินทั้งผัก เศษใบไม้ และหญ้า หรือแม้แต่ข้าวเย็นที่เหลือจากเรารับประทานก็กิน ข้อสำคัญคือเราต้องทำบ่อเลี้ยงให้ดี เป็นธรรมชาติ จะทำให้ปูนาไม่ตายเพียงเท่านี้ ก็มีรายได้จากการเลี้ยงปูนาแล้ว โดยหลังจากนี้คาดว่าสมาชิกจะมีการเก็บหอยที่อยู่ตามทุ่งนามาเลี้ยงเพื่อจำหน่ายเพิ่มเติมเหมือนกัน เพราะจากการทดลองเลี้ยงแล้ว เห็นว่ามีช่องทางการตลาด กำลังเป็นสินค้าอีกตัวที่มีความต้องการสูงจากผู้บริโภค