ขณะนี้ สถานการณ์ของรัฐบาล ถ้าพูดกันด้วยวลีฮิต จากรายการทีวีรายการหนึ่งคือ“ซีนคุณแย่มาก” หรือ“บ้ง”ไปหมดเวลาออกมาแต่ละที ตั้งแต่มีการพูดว่า การติดเชื้อนอนตายข้างถนน บางกรณีเป็นเฟคนิวส์ ทำเอาคนด่าทั้งประเทศว่า มันมีจริงๆ และมันเกิดขึ้นเพราะรัฐบาลจัดการปัญหาโควิดไม่ดีพอ ไม่ต้องมาหาว่ากรณีไหนเฟคนิวส์หรอก

ซีนแย่ที่สอง คือ การออกประกาศคำสั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ห้ามเผยแพร่ข้อมูลอันทำให้เกิดความหวาดกลัว กระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี คราวนี้ดูจะไม่ได้จำกัดแค่สื่อมวลชน เพราะลามไปถึงการให้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนด้วย โดยแจ้งไปที่ กสทช.ให้ดำเนินการแจ้งให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เนตแบนไอพีแอดเดรสที่ฝ่าฝืนกฎ

ปัญหาหลักๆ เกี่ยวกับการควบคุมการสื่อสาร คือ “การนิยามความหมายของสิ่งที่ทำผิด” ในกฎหมายเกี่ยวกับสื่อมวลชนแต่ละฉบับจะเขียนเรื่อง “ห้ามนำเสนอข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ” ไว้ด้วย แต่ไม่เคยนิยามชัดๆ ว่า “ลักษณะไหนจะเข้าเค้า” พอมันครอบจักรวาล กลายเป็นเจ้าหน้าที่จะตีความให้มันผิดอย่างไรก็ได้

“ข้อมูลที่ทำให้เกิดความกลัว”ก็เช่นกัน ถามว่า วันนี้ใครสร้างความกลัวมากที่สุด ? หลายคนคงบอกว่ารัฐบาล เพราะไม่มีความชัดเจนในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการจัดการฉีดวัคซีนที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก สต๊อกวัคซีน จำนวนเตียงผู้ป่วยพอหรือไม่ นโยบายกักตัวที่บ้านถ้าเป็นผู้ป่วยสีเขียว ตกลงเอาอย่างไร ยอมรับผลตรวจแรพพิด เทสต์ หรือต้อง RT PCR

การออกกฎหมายมาในลักษณะเหมือนการห้ามการสื่อสาร ระวังมุมสะท้อนกลับด้านหนึ่งคือคนจะยิ่งเกลียดรัฐบาลที่ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล และอีกมุมหนึ่งคือคนยิ่งเกิดความระแวงว่า“รัฐบาลหมกเม็ดอะไรไว้หรือไม่” ทั้งที่วิธีที่ดีที่สุดคือเมื่อมีปัญหาต้องสื่อสารสร้างความชัดเจน แต่พอรัฐบาลยังไม่ชัดเจนหลายเรื่องจะเอาอะไรสื่อสาร ?

เมื่อประชาชนตั้งข้อสงสัยกับรัฐบาล และมีการปิดกั้นการแสดงความเห็น ก็ต้องระวังข่าวลือจะเกิดหนักตามมาแบบไปไล่จับกันไม่หวาดไม่ไหว การถามในสื่อโซเชี่ยลมีเดียที่มีปฏิสัมพันธ์กันได้ ทำให้มีการเชคข้อมูลมาหักล้างได้ถ้าไม่จริง และที่ต้องถามคือรัฐบาลจะจัดการอย่างไรกับพวกข่าวปลอมที่ใช้วิธีลือปากต่อปาก ?    

ซีนต่อมาที่รัฐบาลแย่อีก ก็คือเรื่องไฟเซอร์ ซึ่งบุคลากรด่านหน้าเขาต้องการเพื่อความอุ่นใจว่ามันเป็นวัคซีนที่ได้ชื่อว่ามีประสิทธิภาพดี ปรากฏว่า พอรับบริจาคจากสหรัฐอเมริกามา มีการออกเกณฑ์แรกที่บุคลากรด่านหน้าจะได้ใช้คือต้องผ่านการฉีดซิโนแวคมาแล้วสองเข็มเท่านั้น แล้วจะมีบุคลากรด่านหน้าหลุดจากการได้ไฟเซอร์ไปเท่าไร ?

ทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นมาอีกว่า “จะเอาอะไรมายัดเข้าเป็นบุคลากรด่านหน้าหรือไม่ ? อย่างเด็กนักการเมือง ประเภทอ้างลงพื้นที่ ทั้งที่คนกลุ่มนี้ถ้ารัฐบาลมั่นใจเรื่องฉีดไขว้ก็ควรให้ใช้สูตรซิโนแวค 2 เข็ม เพิ่มภูมิด้วยแอสตราเซเนกาตามที่คนของตัวเองออกไกด์ไลน์มา พอวิจารณ์กันเยอะก็คงจะต้องเปลี่ยนสูตรฉีดไฟเซอร์ใหม่

หลายอย่างของรัฐบาลขณะนี้ไม่เข้าตาประชาชนเท่าไรนัก ถ้าไม่วิจารณ์ อย่างที่เรียกว่า“ขับเคลื่อนด้วยการด่า” นโยบายหลายอย่างก็ไม่เปลี่ยน ทำให้เมื่อปิดกั้นการสื่อสารของประชาชนยิ่งสร้างความไม่พอใจ เรียกว่าเรื่องงอกมาเรื่อยๆ ..นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็มีแอคชั่นว่ามันขัดรัฐธรรมนูญ

ถ้ามีคดีความเกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยยินดีเป็นตัวแทนทำคำร้องไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อเอาผิดรัฐบาล และพรรคจะเอาเรื่องการใช้อำนาจเกินขอบเขตรัฐธรรมนูญ ไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนเป็นประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ด้วย ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะยื่นญัตติกลางเดือน ส.ค.นี้

แค่เรื่องแก้โควิด รัฐบาลก็อ่วมแล้ว ยังเพิ่มเรื่องละเมิดสิทธิประชาชนในศึกซักฟอกอีก ก็ต้องชี้แจงให้ได้.