เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงข่าวผ่านเพจ “กระทรวงสาธารณสุข” กล่าวว่า จากการออกมาตรการล็อคดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งอีก 2 สัปดาห์เราต้องร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อผ่านสถานการณ์การระบาดเหมือนที่เราร่วมกันผ่านมาในหลายระลอกของการระบาด ทั้งนี้สุขภาพจิตคนไทย มีความตึงเครียดขึ้นลงเป็นไปตามสถานการณ์การระบาด สาเหตุสำคัญคือการเรียนรู้การอยู่กับโรคโควิด แต่ขณะเดียวกันก็มีความกลัว โดยเฉพาะการระบาดระลอกนี้มีการระบาดวงกว้างมากขึ้น ความตึงเครียดสาเหตุอันดับแรกมาจากความกังวลว่าจะติดเชื้อ  เพราะตระหนักได้ว่าโอกาสติดใกล้ตัวมากขึ้น 2. เป็นเรื่องการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตใหม่ ซึ่งที่เราคุ้นเคยวิถีชีวิตนี้มาปีกว่าๆ ดังนั้นอีก 2 สัปดาห์ก็น่าจะเป็นอีกช่วงเวลาที่เราจะปรับตัวกับวิถีชีวิตใหม่อีกเพื่อให้เกิดความปลอดภัย สำหรับตัวเราเองและคนที่เรารัก

พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า จากข้อมูลสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ภาพรวมช่วงที่ผ่านมาสายให้ข้อมูลค่อนข้างมาก ทำให้คนที่ต้องการรับคำปรึกษามีโอกาสน้อยลง ดังนั้นได้มีการขยับการให้ข้อมูลผ่านสายอื่นๆ และเปิดช่องทางให้ประชาชนได้เข้าถึงระบบการให้คำปรึกษาด่านสุขภาพจิตหลายช่องทาง อาทิ เฟสบุ๊ค “1323 สายด่วนสุขภาพจิตกับCOVID-19” แอพลิเคชั่นไลน์ @1323FORTHAI และ @mcattcovid เพื่อให้คำปรึกษากับผู้ดูแลผู้ป่วยที่ต้องถูกแยกกักด้วย ซึ่งทำให้หลายคนมีความกังวล เศร้า เครียด หรือแม้แต่คนที่บ้านก็รู้สึกเครียดเศร้าตาม ซึ่งขณะนี้เราพบกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงผู้ดูแลในสถานที่ดูแลต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาเครียด ไม่สบายใจ กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  64.7% มีอาการนอนไม่หลับ 23.5% หูแว่ว หวาดระแวง 5.9% อื่นๆ 5.9%

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กลุ่มของญาติผู้สูญเสียนั้นมีอยู่ 2 กลุ่มที่เราต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด คือ 1. เด็กที่สูญเสียผู้ปกครอง และ 2. ผู้ใหญ่ที่สูญเสียคนในครอบครัว ทั้งนี้กรณีของเด็กจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ กรณีเด็กเล็ก เด็กอนุบาล ซึ่งยังแยกไม่ได้ระหว่างการมีชีวิตอยู่กับการเสียชีวิต บางครั้งจึงมีการพูดหรือปฏิบัติต่อคนที่จากไปแล้วเสมือนคนๆ นั้นยังไม่เสียชีวิต เช่น เรียกชื่อ คุยด้วย ชวนกินอาหาร อาจจะทำให้ญาติผู้ดูแลเกิดความสะเทือนใจ แต่ภาวะอารมณ์ของผู้ใหญ่จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เด็กผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้ โดยขอให้ใช้คำอธิบายแบบง่ายๆ ให้เข้าใจว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วไม่สามารถทำอะไรบางอย่างที่เคยทำได้ แต่เราสามารถเก็บสิ่งของบางอย่างแทนความรู้สึกได้ เช่น การนอนกอดหมอน ซึ่งผู้ใหญ่สามารถทำร่วมกับเด็กได้ แต่หากเป็นเด็กโต หรือวัยรุ่นจะเข้าใจแล้วว่าการเสียชีวิตหมายความว่าอย่างไร แต่ผู้ใหญ่ต้องให้โอกาสในการพูดคุย เพราะเด็กก็กังวลใจต่อการสูญเสียคนที่รัก โดยเฉพาะเด็กที่เริ่มโตจะเริ่มคิดถึงอนาคตตัวเอง และเริ่มคิดถึงผลกระทบจากการที่เขาเสียคนที่จะดูแลเขา หากตรงนี้มีผู้ใหญ่คนที่เขาเชื่อมั่น มีคนที่ยังพูดคุยให้เขาเข้าใจความรู้สึกของความสูญเสีย เขาจะผ่านสถานการณ์เหล่านี้ได้ดีขึ้น

“ฝากทุกคนช่วยดูแลเด็กที่ประสบความสูญเสีย  อารมณ์ที่สงบของผู้ใหญ่จะช่วยได้มาก การพูดคุยกับเขา การให้โอกาส เด็กได้ระบายความรู้สึกในรูปแบบของเด็ก ซึ่งมีหลายรูปแบบและหลายกิจกรรม และถ้าท่านอยู่กับเขาในเวลาเหล่านั้นเขาจะผ่านสถานการณ์ความสูญเสียได้ดีขึ้น และถ้าเป็นไปได้ หากอะไรที่น่าหวาดกลัวเกินไป หรือเด็กยังไม่พร้อมที่จะเข้าสู่เหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวสำหรับการสูญเสียก็อย่าผลักดันให้เด็กทำสิ่งนั้น” พญ.พรรณพิมล กล่าว

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ใหญ่ เราพบว่าส่วนใหญ่คือสมาชิดในครอบครัวป่วยพร้อมคน แต่บางคนเสียชีวิต บางคนยังอยู่ระหว่างการรักษา ทำให้เกิดสถานการณ์ที่อยากจะทำอะไรบางอย่างแต่ทำไม่ได้คือ 1. ไม่ได้ล่ำลาคนที่สูญเสีย 2. ความรู้สึกว่าไม่ได้ไปส่งเขาในวันที่จากไป เนื่องจากการจัดการเรื่องศพ อยากให้ทุกคนยึดมั่นว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วเขายังคงเป็นที่รักของเรา และเรายังสามารถทำกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงเขา เช่น ถ้ายังป่วยอกจากรพ.ไม่ได้ ก็ส่งความรู้สึก จิตใจเพื่อส่งเขาได้ เขารับรู้ และเมื่อท่านหายดีกลับบ้านแล้ว ยังสามารถทำพิธีต่าง ๆให้ผู้เสียชีวิตได้ แต่หากยังรู้สึกสูญเสีย เสียใจนานเกินไป นานเกิน 3-6 เดือน หรือเห็นคนข้างกายไม่สามารถผ่านความสูญเสียนี้ไปได้โดยปกติ ให้ปรึกษามาที่สายด่วน 1323 ซึ่งจะมีทีมคอยรับฟังและให้คำปรึกษา ถ้าจำเป็นต้องไปดูแลที่ครอบครัว เราก็ยินดีเข้าไปร่วมกันผ่านภาวะความสูญเสียนี้ไปได้

“ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน เราจะผ่านสถานการณ์ที่ต่างไปจากเดิม สถานการณ์ที่เราคาดการณ์ไม่ได้ แต่เราก็มีมาตรการต่างๆ ที่จะผ่านสถานการณ์ไปให้ได้” พญ.พรรณพิมล กล่าว.