สื่อต่างประเทศ The New York Times ได้มีการเผยแพร่งานวิจัยของประเทศไทย โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่เพิ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2565 ผ่านวารสาร Emerging Infectious Diseases ของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) โดยมีการระบุว่า ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศแรกที่พบการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งคาดว่าเป็นการติดจาก “แมวสู่คน” ครั้งแรกของโลก

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เริ่มจากเมื่อวันที่ 4 ส.ค.64 มีพ่อลูกคู่หนึ่ง วัย 64 และ 32 ปี มีอาการป่วยและตรวจพบเชื้อโควิด-19 ที่กทม. แต่เนื่องจากเตียงเต็ม จึงถูกส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ซึ่งทั้ง 2 คนได้พาน้องแมวที่เลี้ยงมาด้วย เมื่อมาถึง แมวซึ่งไม่มีอาการป่วย ก็ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลสัตว์เพื่อทำการตรวจโดยสัตวแพทย์หญิงวัย 32 ปี ตรวจหาเชื้อด้วยการแยงจมูกและทวารหนัก ซึ่งก็พบผลเป็นบวก อย่างไรก็ดี ในขณะที่กำลังตรวจ ปรากฏว่าเจ้าเหมียวได้จามใส่สัตวแพทย์ แม้จะมีการป้องกันโดยใส่ถุงมือ หน้ากากอนามัย แต่ไม่ได้ใส่ face shield หรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตา

ต่อมา วันที่ 13 ส.ค. หรือ 5 วันหลังจากนั้น ทางสัตวแพทย์หญิง จากเดิมที่ยังสุขภาพดีไม่เคยมีอาการป่วยใดๆ กลับพบว่าเริ่มมีอาการของการติดเชื้อโควิด-19 เช่น ไอและเป็นไข้ แต่ยังไม่ได้ไปพบแพทย์ จนกระทั่งวันที่ 15 ส.ค. ได้ตรวจพบผลเชื้อไวรัสเป็นบวก

ขอบคุณภาพจาก : The New York Times

อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์การศึกษาลำดับจีโนม (genome sequencing) ประกอบกับระยะเวลาการติดเชื้อที่ใกล้เคียงกัน พบว่า การติดเชื้อของทั้งสัตวแพทย์หญิง แมว และเจ้าของอีก 2 คน มีความเกี่ยวข้องกันในทางระบาดวิทยา อีกทั้งในเชื้อที่พบนั้นยังไม่มีการระบาดในพื้นที่ของ จ.สงขลา และเนื่องจากสัตวแพทย์หญิงไม่เคยพบกับเจ้าของมาก่อน ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานในครั้งนี้คือ สัตวแพทย์น่าจะติดโควิด-19 มาจากการที่แมวจามใส่หน้า

ทีมนักวิจัยสรุปทิ้งท้ายว่า การศึกษาครั้งนี้ถือเป็นหลักฐานที่ชี้ถึงการแพร่ระบาดจากแมวสู่คน อย่างไรก็ดี อัตราการเกิดของการแพร่ระบาดแบบนี้ก็ถือว่าพบได้ไม่บ่อย เพราะแมวมีระยะเวลาการขับเชื้อ (viral shedding) ที่สั้นโดยเฉลี่ย คือ 5 วัน

ทั้งนี้ ทาง The New York Times ได้ย้ำความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมเอาไว้ว่า การติดเชื้อที่มนุษย์จะได้รับจากแมว ยังถือว่ามีความเสี่ยงโดยรวมต่ำอยู่อีกด้วย..

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @nytimes,@wwwnc.cdc.gov