เมื่อวันที่ 2 ส.ค. นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้ประกาศล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29 จังหวัด ว่า เป็นการแสดงถึงความล้มเหลวที่ไม่สามารถที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้ ทั้งที่สั่งล็อกดาวน์มา 14 วัน ใน 13 จังหวัดแล้วก่อนหน้านี้ การล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29 จังหวัดจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ทรุดหนักอยู่แล้วให้หนักหนาสาหัสเพิ่มมากขึ้น และการล็อกดาวน์ 29 จังหวัดจะส่งผลกระทบกับประชาชนทั้งประเทศอย่างมาก

นายกฤษฎา กล่าวว่า ปัญหาที่น่าห่วงคือ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามซื้อเวลาและเหมือนกับต้องการหลอกประชาชนว่าจะล็อกดาวน์ต่ออีกเพียง 14 วัน ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าการล็อกดาวน์จะต้องทำอีกเป็นระยะเวลานานหลายเดือน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ยังล้มเหลวในการจัดการโควิดทั้งการแยกผู้ติดเชื้อ บริหารจัดการโรงพยาบาลสนาม และการจัดการวัคซีนที่วุ่นวายขาดประสิทธิภาพ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่กล้าจะบอกความจริงกับประชาชน เพราะกลัวประชาชนจะทนไม่ไหว แค่นี้คนก็ออกมาประท้วงในคาร์ม็อบที่ผ่านมาเป็นจำนวนมากแล้ว ไม่ต่างอะไรกับ “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” แต่ปาเข้าไป 7 ปีเป็นต้น แต่คราวนี้ประชาชนรู้ทันแล้ว และจะสร้างความไม่พอใจกันอย่างมาก

นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า ที่บอกจะเปิดประเทศใน 120 วัน ซึ่งตรงกับวันที่ 14 ต.ค. 64  ถึงวันนั้นอย่าว่าแต่เปิดประเทศเลย เปิดล็อกดาวน์ก็ยังไม่น่าจะได้ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ จนนำมาสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งจะทำให้ เศรษฐกิจปีนี้น่าจะต้องติดลบต่ออีกปีอย่างแน่นอน โดยจะทำให้ ธุรกิจจะเจ๊งและปิดตัวกันอีกมาก คนจะยิ่งตกงาน หนี้ครัวเรือน และ หนี้นอกระบบจะพุ่งกระฉูด พร้อมๆ ไปกับหนี้สาธารณะที่ต้องกู้มาแจกแต่ไม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเร่งแก้ไขหาวัคซีนมาเร่งฉีดให้คนงานในภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งทำการคัดกรองผู้ติดเชื้อ และเร่งทำโรงพยาบาลสนามเพื่อแยกคนติดเชื้อ ภายในพื้นที่ของโรงงาน แต่ยังคงสามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้ เพื่อไม่ให้ กระทบกับการผลิตและการส่งออก เพื่อประคองเศรษฐกิจของไทยในภาวะวิกฤตินี้

นายกฤษฎา กล่าวด้วยว่า ถ้าพูดถึงการล็อกดาวน์ประเทศคล้ายกับโมเดลอู่ฮั่น ที่ปิดล็อกตายทั้งเมืองนั้น อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้พิจารณาให้ดีทั้งนี้เพราะเมืองอู่ฮั่น ที่ปิดเพียงเมืองเดียวในประเทศจีน มีสัดส่วนของจีดีพีที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจีดีพีของประเทศจีน มีการคำนวณกันว่าการปิดอู่ฮั่น คราวนั้นคิดความเสียหายเป็นเพียง 0.174% ของจีดีพีประเทศจีนเท่านั้น แต่หากจะปิดเฉพาะ กทม. และ ปริมณฑลจังหวัดใกล้เคียง สัดส่วนของจีดีพีจะสูงถึง 47.5% ของ จีดีพีไทย ถ้าล็อกดาวน์เข้มงวดแบบอู่ฮั่นความเสียหายทางเศรษฐกิจจะมากมายมหาศาลจนถึงกับหายนะได้ ซึ่งหากจำกันได้ตอนที่สหรัฐอเมริกามีการติดเชื้อกันมาก สหรัฐ เองก็ยังไม่กล้าที่จะล็อกดาวน์เมืองนิวยอร์ก ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนของสหรัฐเลย ดังนั้นจึงอยากให้กษาและพิจารณาให้ดี หากตัดสินใจโดยไม่ศึกษาและพิจารณาโดยละเอียดจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาลและอาจเสียหายจนไม่อาจจะรับได้

“ประเทศไทยต้องอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ทั้งการติดเชื้อของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้นมาก และคนตายก็เพิ่มขึ้นทุกวัน เศรษฐกิจก็ทรุดโทรม ต้องมาคิดหนักว่าจะต้องล็อกดาวน์แบบไหน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความล้มเหลว การบริหารจัดการ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ หมดความน่าเชื่อถือแล้วและต้องออกไปได้แล้ว ยิ่งอยู่นานคนจะยิ่งทนกันไม่ไหว และจะออกมาขับไล่กันมากขึ้น สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้อยู่ดี จึงควรต้องออกไปก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายกว่านี้ ถ้าถึงตอนนั้นจะมีคนโกรธแค้น พล.อ.ประยุทธ์ อีกเป็นจำนวนมาก” นายกฤษฎา กล่าว.