ชักเย่อกันมาพักใหญ่สำหรับม็อบราษฎร กับรัฐบาลบิ๊กตู่ เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป แต่ปรากฏการณ์ “ม็อบ 1 สิงหาฯ” ดูจะไม่เหมือนก่อน แนวร่วมเริ่มขยายวงกว้าง ไม่ใช่เฉพาะแค่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร แล้ว แต่ตามต่างจังหวัดก็เริ่มออกมาเคลื่อนไหว กล้าเปิดหน้าชักธงรบ ออกมาขับไล่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ก้าวขึ้นสู่อำนาจจากการทำรัฐประหาร และอยู่บนหอคอยแห่งอำนาจ มายาวนานกว่า 7 ปี เป็นหอคอยแห่งความล้มเหลว แต่ยุงกลับไต่ไรกลับตอมไม่ได้
“ม็อบ 1 สิงหาฯ” แปรเปลี่ยนปรับรูปแบบเป็น “ม็อบ 5 ขบวนทัพ” ประกอบด้วย 1.กลุ่มราษฎรทะลุฟ้า และแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดย เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ ไผ่ ดาวดิน รวมพลตั้งขบวนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 2.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง นัดรวมพลคาร์ม็อบที่แยกราชประสงค์ กับอดีตอันแสนเศร้า และวลี “ที่นี่มีคนตาย”
3.กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก และเสรีเทยพลัส หรือ Rainbow’s Car Mob นัดรวมตัวและจะเริ่มเคลื่อนจากช่วงสีลมซอย 2 4.กลุ่มไทยไม่ทน นัดรวมพลหน้าปั๊มน้ำมัน ปตท. เลียบด่วนรามอินทรา 5. บก.ลายจุด-สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้นำจัดคาร์ม็อบ ภายใต้ชื่อ “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม” นัดรวมพลที่ประตู 6 สนามบินดอนเมือง ก่อนเคลื่อนขบวนไปตามถนนวิภาวดีฯ
แม้จะเป็นตัวละครหน้าเก่าเจ้าเดิม ที่เข้าๆ ออกๆ เรือนจำ แต่เพิ่มเติมคือ ความกล้าแหกสารพัดกฎเหล็ก โดยเฉพาะในยามกำลังเผชิญวิกฤติโควิด-19 และเป้าหมายคือ การขับไล่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ลงจากเก้าอี้ผู้นำประเทศ
เราเห็นการปราศรัยโจมตีการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาลผู้นำทหาร โดยเฉพาะการบริหารจัดการวัคซีน ที่เหมือนไม้หลักปักขี้เลน ย่ำแย่ ล่าช้า ไม่ตอบโจทย์ ไม่ตรงจุด สร้างความขุ่นเคืองไปทั่ว แถมถูกมองด้วยสายตาเคลือบแคลงในเรื่องผลประโยชน์และความโปร่งใส และอีกสารพัดปัญหาในยุคบิ๊กตู่ ที่ดูเหมือนจะถูกโยนเข้าเครื่องซักฟอกให้ขาวสะอาดบริสุทธิ์อยู่ตลอด แต่หลายอย่างกลับดูค้านสายตาประชาชน
บทสรุปของ “ม็อบ 1 สิงหาฯ” จบลงที่ฉากปะทะกันของตำรวจชุดควบคุมฝูงชน กับมวลชน บริเวณแยกดินแดง และถ้อยแถลงของนายตำรวจ กับ 6 ข้อหาหนักที่ประเคนให้ม็อบ และการจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมไว้ได้ 10 ราย โดยมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย แต่ดูแล้วมันคงจบแค่สำหรับวันนี้เท่านั้น และคงจะเริ่มขึ้นอีกในวันต่อไป ประเทศไทยกำลังย้อนกลับไปสู่วังวนเดิมๆ เป็นวงจรเก่าที่ไม่เคยเปลี่ยน เป็น “บทเรียน” ที่ไม่เคยมีใครจดจำ ไม่ว่าจะฝั่งไหน และโดยเฉพาะฝั่ง “ผู้กุมอำนาจ” ที่ไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมปล่อยมือ ก่อเกิดวิกฤติศรัทธา
คำถามคือ จากนี้ไป “ชะตาชีวิต” ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะเป็นอย่างไร ในวันนี้ที่ไม่เหมือนในวันนั้นตอนที่สวมหมวกสองใบใหญ่โตเรืองอำนาจบนเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” และ “หัวหน้า คสช.”
แม้ว่าวันนี้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ยังคงสวมหมวกสองใบเช่นเดิม เป็นทั้ง “นายกรัฐมนตรี” และ “รมว.กลาโหม” แต่ต่างกันตรงอำนาจไม่ขลังเหมือนเดิมแล้ว เพราะตำแหน่งหัวหน้า คสช. คุมได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งองคาพยพ มีดาบอาญาสิทธิ ม.44 อยู่ในมือ จะฟันฉับตอนไหนใครก็ขยาด นักการเมืองหวาดกลัวสยบยอม
ในยุค “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” บน “เรือแป๊ะ” ผุๆ พังๆ ที่กำลังเผชิญสารพัดคลื่นลมแรง และบนเรือก็เต็มไปด้วยทหารแก่ ข้าราชการเกษียณ นักการเมืองหน้าเดิมๆ และพวกหัวอนุรักษนิยม ที่บางคนแค่เปิด Google เป็นก็ลิงโลดใจแล้ว จะยังแล่นไปได้ไกลแค่ไหน จะยังแล่นต่อไปจนอับปางจมลง หรือจะแล่นเข้าฝั่งเทียบท่า เพื่อซ่อมแซม หรือสร้าง “เรือลำใหม่” ที่ชื่อ “ประเทศไทย” ให้แล่นฝ่าลมมรสุมลูกใหญ่ไปให้ได้ ก็อยู่ที่ตัว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หรือไม่ก็คงอยู่ที่ “ฟ้าลิขิต” ขีดเขียนให้เท่านั้น.