มูลนิธิแอ็คชั่นเอด ประเทศไทย ร่วมกับ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนจากกลุ่มสหภาพยุโรป ภายใต้โครงการอียูรับมือโควิด จัดงานสัมมนา“แนวทางในการจัดบริการด้านสุขภาพ การเข้าถึงหลักประกันทางสุขภาพ และแนวทางในการช่วยเหลือเยียวสำหรับกลุ่มประชากรข้ามชาติ : บทเรียนจากช่วงวิกฤติสุขภาพในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19”

ทั้งนี้ เวทีดังกล่าวมีการนำเสนอข้อมูลสถานการณ์ และข้อเสนอเชิงนโยบายในเรื่องการจัดบริการด้านสุขภาพ หลักประกันด้านสุขภาพในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ และทบทวนสถานการณ์ปัญหาการเข้าถึงการเยียวยาของแรงงานข้ามชาติ และการคุ้มครองเด็กข้ามชาติในสถานการณ์โควิด 19 และข้อเสนอต่อการจัดการของรัฐ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายหลายมุมมองน่าสนใจ  อาทิ

ปภพ เสียมหาญ ผู้แทนมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนฯ นำเสนอสถานการณ์การเข้าถึงเยียวยาของแรงงานข้ามชาติว่า 2 ปี ที่ผ่านมาแรงงานข้ามชาติเป็นผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ เช่น มีการค้างจ่าย การถูกลอยแพ ค่าจ้างไม่เป็นธรรม แต่ส่วนใหญ่สนใจเรื่องปากท้องเป็นสำคัญ กลัวว่ายื่นเรื่องไปอาจถูกเลิกจ้างและไม่สามารถทำงานในไทยต่อได้ ขณะที่ข้อเท็จจริงมาตรการเยียวยาของรัฐไปไม่ถึงคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเงื่อนไขต้องผู้ประกันตนตามมาตรา 33 สัญชาติไทยเท่านั้น ข้อเสนอแนะของเราคือ แม้ว่าแรงงานข้ามชาติจะอยู่ในระบบประกันหรือไม่ แต่การเยียวยาเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

สอดคล้องกับ สุธาสิณี แก้วเหล็กไหล เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MWRN) ยกตัวอย่าง พื้นที่ จ.สมุทรสาคร ว่า มีการล้อมรั้วปิดตลาดกุ้ง ช่วงแรกไม่มีการจัดหาอาหารผู้กักตัว เพราะงบประมาณข้าวกล่องมีเฉพาะคนไทย เรื่องการเยียวยาโครงการเรารักกันหรือคนละครึ่งนั้น ก็ใช้ไม่ได้ จึงไม่ตอบโจทย์การเยียวยาทุกคน เรื่องการตรวจโควิดเชิงรุกที่คนไม่มีเอกสารก็ไม่สามารถตรวจได้ เรื่องการเยียวยาพื้นที่สีแดงก็ให้เฉพาะคนไทย เรื่องวัคซีนนั้นก็ให้เฉพาะผู้ประกันตน ทำให้มีแรงงานข้ามชาติตกหล่นจำนวนมาก

ด้าน อุกฤษณ์ กาญจนเกตุ ที่ปรึกษาสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้ช่วงโควิดจะมีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน แต่แรงงานที่เข้าเมืองผิดกฎหมายมีความลำบากกว่ามาก ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากไหนได้ การส่งเสริมการจ้างงานให้ถูกกฎหมายเป็นปัจจัยที่จะลดปัญหาต่างๆ ได้ ขณะที่ไทยถูกจับตาเรื่องการค้ามนุษย์ ถ้ามีแรงงานเข้ามาไม่ถูกกฎหมายก็จะมีปัญหาตามมา จึงต้องมีกระบวนการชักจูงให้แรงงานข้ามชาติให้ถูกกฎหมายให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการทำงานถูกกฎหมายไม่ต่างจากการเข้ามาแบบผิดกฎหมาย

อีกด้าน รศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล นำเสนอข้อเสนอจากงานวิจัย “เด็กข้ามชาติในสภาวะวิกฤติสุขภาพ: สถานการณ์และทางออก” ว่าได้ทำการศึกษาโดยประเมินสถานการณ์และผลกระทบเด็กข้ามชาติในประเทศไทย ข้อมูลสถิติเด็กข้ามชาติที่มีตัวเลขไม่ชัดเจน แต่มีพลวัตการอยู่อาศัยของเด็กในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านค่อนข้างมาก ด้านการศึกษานั้นผลกระทบทางตรงคือการปิดโรงเรียนและศูนย์เรียนรู้ เกิดการชะงักในโอกาสการเรียนรู้ เด็กขาดการศึกษาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเด็กไทยกลุ่มเปราะบางจะเจอผลกระทบไม่ต่างกัน แต่เด็กข้ามชาติมีปัจจัยเรื่องเอกสารและบริบทที่ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องการคุ้มครองนั้นความเสี่ยงขึ้นอยู่กับช่วงวัย เช่น ในเด็กเล็กการขาดผู้ดูแลที่เหมาะสม ความรุนแรงในครอบครัว ในเด็กวัยเรียนกระทบจากการปิดโรงเรียน ในเด็กโตจะถูกผลักให้ทำงานเพิ่มขึ้นจนกระทบต่อการศึกษาและมีเรื่องการล่วงละเมิดและพฤติกรรมเสี่ยงทางสังคม

“ปัญหาที่เราต้องเฝ้าระวังคือ 1.การเข้าไม่ถึงทั้งเรื่องการจดทะเบียนเกิด การศึกษา และบริการสุขภาพที่จำเป็น 2.การตกหล่นทั้งเรื่องสุขภาพ การศึกษาและการคุ้มครอง 3.เด็กข้ามชาติจะมีความเสี่ยงและเปราะบางเพิ่ม”

ดังนั้น ข้อเสนอแนะจากการศึกษาคือ 1.กลไกและมาตรการเฉพาะหน้าที่ชัดเจนในการติดตาม ประเมิน เฝ้าระวัง และช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบโควิดต่อเด็กข้ามชาติ 2.การพัฒนาระบบฐานข้อมูลเด็กข้ามชาติและบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3.นโยบายระยะยาวที่ชัดเจนภายใต้แนวคิด replacement migration หากประเทศไทยมีการกำหนดทิศทางที่ชัดเจนให้ความสำคัญกับประชากรกลุ่มนี้ว่าสามารถเป็นกำลังแรงงานขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยได้ในอนาคต ก็จะทำให้นโยบายและกลไกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการดูแลการเข้าถึงสิทธิในด้านต่างๆ เดินไปในเป้าหมาย

อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) กล่าวสรุปคือในสถานการณ์โควิด แรงงานข้ามชาติถูกเลิกจ้างไม่มีรายได้ แม้จะมีมาตรการช่วยเหลือจากรัฐแต่ก็เข้าไม่ถึง เพราะระบบไม่เอื้อ เด็กข้ามชาติเข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล เข้าไม่ถึงการศึกษา หลุดจากระบบ ประชากรข้ามชาติเข้าไม่ถึงการตรวจโควิดและการรักษา ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความไม่พร้อม ตั้งแต่เรื่องสาธารณูปโภคที่ดีพอสำหรับทุกคนเพื่อให้พ้นจากวิกฤติ

“เราควรสร้างระบบที่รองรับทุกคนในสังคมไทย เราควรพัฒนาช่องทางในการให้ความช่วยเหลือ เราควรพัฒนากฎหมายและนโยบายเพื่อรองรับภาวะวิกฤติในอนาคต เพราะโควิดไม่เลือกสัญชาติ โรคระบาดไม่เลือกผู้ป่วย”.