เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่ห้องประชุมกังสดาล โรงแรมแกรนด์พาเลซ อ.เมือง จ.ยะลา นายอำนาจ ชูทอง รอง ผวจ.ยะลา เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมให้ความรู้ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจำปี 2565 โดยมีนางทัศนีย์ สมสมาน รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยะลา เข้าร่วม ซึ่งการจัดอบรมฯ แบ่งเป็น 3 รุ่น รุ่นละ 1 วัน วันนี้เป็นการอบรมรุ่นที่1 กลุ่มเป้าหมายจาก อ.ธารโต อ.บันนังสตา อ.ยะหา อ.กาบัง และ อ.กรงปินัง 230 คน รุ่นที่ 2 วันที่ 2 มิ.ย. 2565 เป็นกลุ่มเป้าหมายจาก อ.เมือง และ อ.รามัน 250 คน รุ่นที่ 3 มีกลุ่มเป้าหมายจาก อ.เบตง 50 คน รวมกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการอบรมทั้ง 3 รุ่น จำนวนทั้งสิ้น 500 คน

นางทัศนีย์ กล่าวว่า การประกอบพิธีฮัจย์เป็นศาสนกิจของศาสนาอิสลาม กำหนดให้มุสลิมที่มีความพร้อมต้องเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ความพร้อมคือพร้อมทางด้านทรัพย์สินและด้านร่างกาย รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว และได้ส่งเสริมกิจการฮัจย์ที่ดีมาโดยตลอด เพื่อแสดงถึงความแน่วแน่ของรัฐบาลในการส่งเสริมกิจการฮัจย์ รัฐบาลจึงได้ตราพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ.2524 โดยมีคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย เป็นผู้กำหนดระเบียบ ข้อบังคับ เงื่อนไข หรือมาตรการใดๆ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในอันที่จะให้ความคุ้มครองผู้ประสงค์จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัย และมีหลักประกันโดยมีกรมการศาสนา ทำหน้าที่สำนักเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย สำหรับการทำพิธีอุมเราะห์ เป็นการปฏิบัติเยี่ยมเยียนที่พำนักของท่านศาสดา และเป็นความตั้งใจ โดยปฏิบัติตามกฎของการทำพิธีอุมเราะห์

สำหรับ จ.ยะลา ในแต่ละปี มีชาวไทยมุสลิม เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ปีละประมาณ 1,000-1,300 คน โดยในปี พ.ศ. 2563-2564 ที่ผ่านมา ประเทศซาอุดีอาระเบียได้มีการประกาศปิดประเทศ เนื่องจากมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อย่างรุนแรง พบผู้ติดเชื้อ 10,000 คน/วัน ทำให้ประเทศไทย รวมถึง จ.ยะลา ไม่มีผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ เนื่องจากมีสถานการณ์ การแพร่ระบาดดังกล่าว

สำหรับ ปี 2565 ประเทศซาอุดีอาระเบีย ประกาศให้สามารถเดินทางเพื่อประกอบพิธีฮัจย์ได้ กระทรวงสาธารณสุขจึงให้มีการดำเนินการจัดโครงการ/กิจกรรมป้องกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ในปี 2565 ก่อนเดินทางไปแสวงบุญ ภายใต้คุณสมบัติ 3 ประการ ดังนี้ 1) ต้องเป็นผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี 2)ได้รับวัคซีนโควิด ครบโด๊สตามที่กระทรวงสาธารณสุขซาอุดีอาระเบียกำหนด 3) ผลการตรวจโรคโควิด-19 แบบ RT-PCR เป็นลบ ไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทาง และให้บริการฉีดวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นและวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพร่างกายของผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์และอุมเราะห์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา จึงกำหนดจัดกิจกรรมให้ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ในปีนี้ ได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นก่อนเดินทาง ขณะปฏิบัติศาสนกิจ และเดินทางกลับ เพื่อให้ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ มีสุขภาพ ที่ดีตลอดระยะเวลาปฏิบัติศาสนกิจ ลดอัตราป่วย อัตราป่วยตาย

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมที่ให้บริการมีทั้งการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และไข้กาฬหลังแอ่น โดยสามารถไปรับบริการได้ที่สถานบริการสาธารณสุข (ที่แต่ละอำเภอกำหนด) รับเอกสารรับรองการให้วัคซีนป้องกันโรคติดต่อระหว่างประเทศ (เล่มสีเหลือง) ได้ที่ โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง ส่วนหนังสือรับรองการรับวัคซีน COVID-19 (วัคซีนพาสปอร์ต) ขอรับได้ที่ รพ.ยะลา และ รพ.เบตง ทั้งนี้การให้บริการฉีดวัคซีนฯ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย การตรวจสุขภาพก่อนไปและหลังกลับ การอบรมให้ความรู้การดูแลสุขภาพตนเองทั้งเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีภาวะเสี่ยง เพื่อให้มีสุขภาพปกติ อีกทั้งในนามรัฐบาลไทยได้ส่งหน่วยแพทย์พยาบาลไปให้การดูแลรักษาระหว่างการประกอบพิธีฮัจย์ด้วย ซึ่งจะทำให้ชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างครบถ้วน ทั้งก่อนการเดินทาง ระหว่างประกอบพิธี และหลังเดินทางกลับประเทศไทย สามารถประกอบพิธีและได้ฮัจย์ที่สมบูรณ์ตามที่ศาสนบัญญัติ สอบถามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มงานควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา โทร. 0-7321-2008 ต่อ 306