สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) อภิปรายรอบสุดท้ายและลงมติต่อร่างมติที่เสนอโดยสหรัฐ เรียกร้องให้มีการยกระดับมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือ ซึ่งทดสอบขีปนาวุธแล้ว 17 ครั้ง นับตั้งแต่ต้นปีนี้


ทั้งนี้ รัฐบาลวอชิงตันเรียกร้องการแบนผลิตภัณฑ์ยาสูบเป็นการถาวร ลดโควตาการส่งออกน้ำมันของนานาชาติไปยังเกาหลีเหนือ และการขึ้นบัญชีดำ “ลาซารัส กรุ๊ป” ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลเกาหลีเหนือ หรือได้รับความสนับสนุนในทางใดทางหนึ่ง และเคยปล่อยมัลแวร์โจมตีระบบการเงินทั่วโลกมาแล้วหลายครั้ง ตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา


อย่างไรก็ตาม ผลการลงมติปรากฏว่า สมาชิก 13 ประเทศ ให้การสนับสนุนร่างมติ แต่จีนและรัสเซียใช้อำนาจวีโต้ หรือการออกเสียงคัดค้าน ซึ่งการที่ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิกถาวรของยูเอ็นเอสซี การใช้อำนาจดังกล่าวเท่ากับเป็นการทำให้ที่ประชุมไม่สามารถรับรองร่างมติดังกล่าวได้


ตลอดระยะเวลาเกือบ 16 ปี ยูเอ็นเอสซีผ่านมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นมาตรการลงโทษ ที่รัฐบาลเปียงยางเดินหน้าพัฒนาและทดสอบขีปนาวุธหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนการทดสอบนิวเคลียร์ โดยยูเอ็นเอสซียกระดับมาตรการคว่ำบาตรครั้งล่าสุดต่อเกาหลีเหนือ เมื่อปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่รัฐบาลเปียงยางทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 และเป็นครั้งล่าสุด


ทว่าหลังจากนั้น จีนและรัสเซียร่วมกันเสนอให้มีการผ่อนคลายมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจบางส่วนต่อเกาหลีเหนือ โดยให้เหตุผลทางมนุษยธรรม ทั้งสองประเทศใช้กลยุทธ์ทางการทูตเพื่อประวิงเวลา แล้วสามารถปัดตกร่างมติไปได้แล้วหลายครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบนานกว่า 15 ปี ที่จีนและรัสเซียวีโต้ร่างมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ


ด้านนางลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเอ็น แสดงความผิดหวังต่อท่าทีของจีนและรัสเซีย ส่วนนายจาง จวิน เอกอัครราชทูตจีนประจำยูเอ็น กล่าวว่า การเพิ่มคว่ำบาตรเกาหลีเหนือนอกจากไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังมีแต่จะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี.

เครดิตภาพ : REUTERS