การพัฒนาแหล่งปะการังเทียมใต้ทะเลของประเทศไทยเริ่มดำเนินมามากกว่า 20 ปี สามารถสร้างระบบนิเวศปะการังแห่งใหม่ในหลายพื้นที่ ด้วยรูปแบบที่แตกต่างของวัสดุที่ใช้ในการจัดทำปะการังเทียมในปัจจุบันมีความหลากหลายและสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่าง การใช้ขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมเพื่อการจัดวางเป็นปะการังเทียม (Rig-to-Reef) นับเป็นนวัตกรรมใหม่ โดยได้จัดวางบริเวณเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เป็นแห่งแรก

ล่าสุด นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ยกทีมลงพื้นที่ติดตามสถานภาพแหล่งปะการังเทียม โดยดำน้ำสำรวจทรัพยากรใต้ทะเล เกาะพะงันจากนั้นเปิดเผยว่า ได้นำทีมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจสถานภาพพื้นที่จัดวางปะการังเทียม โดยใช้ขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียม บริเวณเกาะพะงัน ของบริษัทเชฟร่อน ประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัดจำนวน 7 ขาแท่น ซึ่งหมดอายุสัมปทานมาจัดวางเป็นปะการังเทียม

“พอใจมากกับสภาพระบบนิเวศใหม่ ที่มีแนวโน้มที่จะเป็นแหล่งระบบนิเวศปะการังที่สมบูรณ์และสวยงาม สามารถเป็นแหล่งอนุรักษ์และแหล่งท่องเที่ยวในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้ย้ำกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้ติดตามการเปลี่ยนแปลงรวมถึงผลกระทบในทุกมิติอย่างรอบคอบ และขยายผลการดำเนินงานในพื้นที่อื่นต่อไป นอกจากนี้ อยากให้มีการศึกษาเทคนิค เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยในการพัฒนางานด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผสานองค์ความรู้ทางวิชาการ และความร่วมมือของพี่น้องประชาชนในการมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการ” นายวราวุธ กล่าว

ด้านนายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวเสริมว่า การดำเนินงานของ ทช. ในการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการจัดวางเป็นแหล่งปะการังเทียม เริ่มดำเนินมานับสิบปี จัดวางปะการังเทียมไปแล้วกว่า 150,000 แท่ง สร้างแหล่งปะการังแห่งใหม่ใต้ท้องทะเลกว่า 36,000 ไร่ สำหรับพื้นที่บริเวณพื้นที่ปะการังเทียมขาแท่นปิโตรเลียม บริเวณพื้นที่เกาะพะงัน ได้มีดำริริเริ่มมาในสมัยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. ยังคงดำรงตำแหน่งอธิบดี ทช. และได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและแผนทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

ทั้งนี้ ภายหลังการวางขาแท่นเป็นแหล่งปะการังเทียม ทช. ได้ประกาศมาตรการคุ้มครองทรัพยากรในบริเวณดังกล่าว ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 2564 และจะสิ้นสุดการบังคับใช้วันที่ 8 มี.ค. 2566 ซึ่งเป็นการห้ามการทำประมงด้วยเครื่องมือประมงทุกชนิด ห้ามดำเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวดำน้ำ หรือการกระทำที่อาจมีผลกระทบต่อปะการังและสิ่งมีชีวิตในบริเวณดังกล่าว เพื่อช่วยเร่งการเกาะตัวของปะการังอ่อนและสัตว์น้ำเข้ามาอาศัยเสมือนแหล่งอนุบาลสัตว์ใต้ทะเล ซึ่งตนคิดว่าการลดกิจกรรมของมนุษย์ในช่วงแรกทำให้ประสิทธิภาพของการเกิดแหล่งปะการังใหม่เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่และทีมนักวิชาการ ติดตามสภาพการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด รวมถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกมิติ ทั้งนี้ ทช.ได้เตรียมแผนประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตามมาตรา 22 ต่อไป


ขณะที่ นายอรรจน์ ตุลารักษ์ ผู้จัดการฝ่ายโครงการร่วมทุน บริษัท เชฟรอน ประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า บริษัท เชฟรอนฯ และบริษัทผู้ร่วมทุน ประกอบด้วย บริษัท มิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น จำกัด และบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ยินดีกับความสำเร็จของโครงการนำร่องการใช้ขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมไปจัดวางเป็นปะการังเทียม ที่ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ สามารถใช้ประโยชน์ขาแท่นฯ เป็นบ้านให้กับสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล ซึ่งจากการสำรวจหลังการจัดวางปะการังเทียม พบการเข้าอยู่อาศัยของประชากรปลาที่หนาแน่นขึ้น มีความหลากหลายของชนิดปลาเพิ่มขึ้น และยังพบการฟื้นตัวของสิ่งมีชีวิตเกาะติดที่ดีบริเวณของขาแท่นฯ ตลอดจนผลการสำรวจด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลบริเวณกองปะการังเทียมอยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงเชื่อมั่นว่า กองปะการังเทียมแห่งนี้จะช่วยสร้างประโยชน์ด้านฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำที่สำคัญให้กับชาวประมงในพื้นที่ ช่วยส่งเสริมธุรกิจด้านการท่องเที่ยวได้ในอนาคต


ดร. ศุภิชัย ตั้งใจตรง กรรมการผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในช่วงเวลา 1 ปีหลังการจัดวางปะการังเทียม จุฬาฯ ได้ติดตามและสำรวจเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมถึงผลกระทบอื่นๆ ต่อระบบนิเวศใต้ทะเล สรุปเป็นที่น่าพอใจมาก ทั้งนี้ จุฬาฯ จะสำรวจเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง ๆ ต่อไป ตามกรอบการดำเนินงาน 2 ปีหลังจากจัดวางปะการังเทียม ในช่วงเดือน ก.ย. 2565 และคาดว่าจะทราบผลการสำรวจในช่วงต้นปี 2566