เอ็มดับเบิลยู ไอเอ็กซ์3 เอ็ม สปอร์ต (iX3 M Sport) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ 1 ใน 3 รุ่นที่ทาง บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย มีขายในบ้านเราค่าตัวอยู่ที่ 3.399 ล้านบาท ถูกที่สุดในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า100% และถูกกว่าเอ็กซ์ 3 เอ็กซ์ไดรฟ์ 20ดี เอ็ม สปอร์ต ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ดีเซลเทอร์โบ ราคา 3.699 ล้านบาท ที่ใช้โครงสร้างตัวถังร่วมกัน ส่วนรุ่นเอ็กซ์ 3 เอ็กซ์ไดรฟ์ 30อี เอ็ม สปอร์ต ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เบนซินเทอร์โบแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด ราคาอยู่ที่ 3.799 ล้านบาท และจึงเป็นเหตุผลแรก ๆ ที่ทำให้ไอเอ็กซ์ 3 เอ็ม สปอร์ต เป็นรถแบบ SAV (Sports Activity Vehicle) พลังไฟฟ้า 100% ที่น่าใช้มากที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง

ในเรื่องมิติตัวถังมีขนาดตัวที่ใกล้เคียงกับเอ็กซ์3 รุ่นเครื่องยนต์มีความยาวเพิ่มขึ้น 28 มม. เตี้ยลง 8 มม. ความกว้างและระยะฐานล้อยาวเท่ากัน ส่วนน้ำหนักจะมากกว่ารุ่นเอ็กซ์3 เอ็กซ์ไดรฟ์ 30อี เอ็ม สปอร์ต อยู่ถึง 270 กก. ด้านหน้ารถแตกต่างจากเอ็กซ์ 3 ตรงที่ใช้กระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ดีไซน์ปิดทึบ เอกลักษณ์ของรถไฟฟ้า ระบบไฟหน้าเป็นแบบ Adaptive LED พร้อมระบบส่องสว่างขณะเลี้ยวตาม พวงมาลัย (เฉพาะการเลี้ยวซ้าย) และระบบเปิด/ปิดไฟสูงแบบอัตโนมัติเมื่อมีรถขับสวนทางมา ส่วนตัวถังติดตั้งชุดแต่งรอบคันดีไซน์เอ็ม แอร์โรไดนามิก ท้ายรถมาพร้อมการออกแบบเพื่อลดแรงต้านอากาศส่วนล้ออัลลอยเอ็ม ขนาด 20 นิ้ว ยางหน้าขนาด 245/45R20 ส่วนยางหลังขนาด 275/40R20

การเข้าออกจากห้องโดยสารทำได้สะดวกมาก เนื่องจากตัวถังที่อยู่ในระดับสูงกว่ารถเก๋งและประตูก็สามารถเปิดได้มุมกว้าง การตกแต่งภายในเน้นความหรูหราด้วยหนังแท้กับเสริมลุคแบบสปอร์ตพรีเมียมด้วยอะลูมิเนียมพ่นลาย พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังแบบเอ็ม สปอร์ต และแป้นเปลี่ยนเกียร์ ตรงกลางคอนโซลมีจอภาพขนาด 10.25 นิ้ว ที่มีระบบควบคุมการทำงานได้โดยการสัมผัสหน้าจอหรือทำมือปัดโดยไม่สัมผัสหน้าจอ (ในบางฟังก์ชัน) ก็ได้ หน้าปัดความเร็วใช้จอภาพดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลและสีได้ตามโหมดการขับขี่ ซึ่งมีอยู่ 3 โหมด คือ อีโคโปร, คอมฟอร์ต และสปอร์ต และยังมีระบบจอภาพแสดงข้อมูลการขับขี่ในระดับสายตา ทั้งยังเสริมความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติและกล้องมองรอบคัน

สำหรับเบาะคู่หน้ารูปทรงสปอร์ต การปรับท่านั่งทำได้ด้วยระบบไฟฟ้า เฉพาะด้านคนขับสามารถปรับความกระชับของปีกเบาได้เวลานั่งแล้วให้ความรู้สึกกระชับและสะดวกสบายดี ประกอบกับติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูง จึงช่วยให้การมองเห็นทัศนวิสัยโดยรอบได้กว้างไกล ส่วนห้องโดยสารตอนหลังมีพื้นที่วางขาที่กว้างขวาง ตัวอุโมงค์กลางเตี้ยและช่วงหลังคาสูงให้ความรู้สึกโปร่งโล่งสบาย บนหลังคาติดตั้งกระจกไฟฟ้าขนาดใหญ่เอาไว้ดูวิวท้องฟ้าและแมกไม้ ห้องเก็บของด้านหลังมีความจุ 510 ลิตร และเพิ่มเป็น 1,560 ลิตร ได้เมื่อพับเบาะหลังลง (เบาะหลังพับลงได้แบบ 40/20/40) ฝาท้ายเปิดปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า เลือกใช้ได้ทั้งจากรีโมต, ปุ่มกดภายในรถหรือการใช้เท้าแหย่ไปใต้กันชนหลัง

ในด้านสมรรถนะการขับขี่ จุดเด่นอยู่ที่ตัวมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พละกำลังสูงสุด 210 กิโลวัตต์ 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร โดดเด่นกว่ามอเตอร์ไฟฟ้าในรุ่นอื่น ๆ ด้วยความสามารถในการคงแรงบิดได้แม้ระหว่างรอบสูง สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. ขับขี่สนุก วางใจด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ ส่วนความจุพลังงานรวมอยู่ที่ 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยสามารถนำมาใช้งานได้สูงสุด 74 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพื่อขับเคลื่อนให้ขับขี่ได้ไกลถึง 460-470 กิโลเมตร

ส่วนการทดลองใช้งานจริงหลังจากชาร์จพลังงานจนเต็มแล้ว ตัวเลขบอกระยะทางที่จะวิ่งได้อยู่ที่ 356 กม. ซึ่งระยะทางวิ่งที่ลดลงจากตัวเลขของโรงงานนั้นก็น่าจะมาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง อาทิ สภาพการใช้งานในบ้านเราอากาศร้อนทำให้ระบบปรับอากาศต้องทำงานหนัก ประกอบกับสภาพการขับขี่ที่เน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก และหลังจากได้ลองขับอยู่ 3 วัน จนแบตเตอรี่รถหมดไปประมาณ 50% ค่าใช้จ่ายเรื่องการชาร์จไฟตกอยู่ที่ 1.18 บาท/กม. (ใช้ตู้ชาร์จไฟแบบ DC 50 KW ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตบางกรวยราคา 6.5 บาท/1 KWh) กับใช้เวลาชาร์จจากเต็มที่ 56 นาที

ส่วนในด้านสมรรถนะการขับขี่รู้สึกถึงอัตราเร่งในทุกช่วงความเร็วที่ว่องไวมาก เรียกว่าแตะนิดขยี้หน่อยเป็นพุ่งทะยาน จนบางทีก็รู้สึกว่าออกจะน่ากลัวและขาดความนุ่มนวลคือต้องระวังในการใช้น้ำหนักเท้าในการควบคุมคันเร่งมากกว่ารถเครื่องยนต์ แต่สำหรับการใช้งานที่ความเร็วปกติก็เป็นรถที่ให้ความมั่นใจในทุกจังหวะการเร่งแซง สำหรับการตอบสนองของระบบช่วงล่างนั้นในโหมดคอมฟอร์ต ซึ่งจะทำงานสัมพันธ์ระบบช่วงล่างแบบ Adaptive ที่ปรับความแข็ง/อ่อนด้วยระบบไฟฟ้าตามสภาพถนนและสภาวะการขับขี่นั้นสามารถให้การยึดเกาะถนนที่มั่นคงและนิ่มนวลได้อย่างน่าพอใจ ส่วนใครชอบช่วงล่างแข็งก็เลือกปรับเป็นแบบสปอร์ตได้ แต่ส่วนตัวชอบการตอบสนองของระบบช่วงล่างในโหมดคอมฟอร์ตมากกว่า

โดยรวมนอกจากเรื่องราคาค่าตัวถูกกว่าพลังงานไฟฟ้าประหยัดกว่าก็เป็นอีกเหตุผลที่ตอบโจทย์เรื่องราคาน้ำมันแพงในช่วงนี้ และแม้จะมีระยะทางในการวิ่งที่ยังเป็นรองรถใช้น้ำมันอยู่ แต่สำหรับการใช้งานในเมืองกับระยะทาง 350-400 กม. ไม่มีปัญหาแน่นอน ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวที่ไกลกว่านี้ ผู้ใช้รถแบบนี้ก็ต้องมีการวางแผนการเดินทางดี ๆ เพื่อกะระยะทางและจุดแวะสถานีชาร์จเท่านั้นเอง.