หนูชอบเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก เล่นมาตลอด แต่ตอนนั้นยังไม่เจาะจงว่าเราอยากจะเล่นกีฬาประเภทไหน จริง ๆ ก่อนเป็นนักกีฬาเซปักตะกร้อ หนูเคยต่อยมวยไทยมาก่อน!! ชนิดที่ซ้อมจริงจังถึงขั้นจะขึ้นชกบนเวทีมาแล้วด้วย“ สาวสวยที่ชื่อ “ไข่มุก-จันจิรา พระสังคร” เล่าถึงเส้นทางของเธอก่อนเข้าสู่วงการ “เซปักตะกร้อ” ซึ่งนอกจากฝีมือที่ดีแล้ว ด้วยรูปร่างหน้าตาที่น่ารักสดใส ทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักและมีแฟนติดตามจำนวนไม่น้อย และได้รับฉายาจากแฟนกีฬาว่ “นางฟ้าเซปักตะกร้อ” อย่างไรก็ตาม แต่กว่าที่เธอจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ก็ไม่ง่าย ซึ่งวันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปพูดคุยกับเธอคนนี้กัน…

การที่เธอคนนี้ได้กลายเป็นที่รู้จัก จนได้ฉายา “นางฟ้าเซปักตะกร้อ” นั้น ไข่มุก-จันจิรา” ได้เล่าให้ “ทีมวิถีชีวิต” ฟังว่า น่าจะเริ่มเกิดขึ้นจากการที่ได้ลงแข่งขันเซปักตะกร้อในหลาย ๆ รายการ และมีการถ่ายทอดสดออกทีวี จึงทำให้มีคนได้เห็นได้รู้จักเธอมากขึ้น ซึ่งความรู้สึกส่วนตัว เธอบอกว่ารู้สึกดีใจมาก ๆ ที่มีคนดูแล้วชื่นชอบและชื่นชมเธอ ทั้งนี้ สำหรับประวัติส่วนตัวของ “ตัวเสิร์ฟสาวสวย” คนนี้นั้น ไข่มุก เล่าว่า…พื้นเพเธอเป็นคนนครพนม และใช้ชีวิตเติบโตอยู่ที่บ้านเกิดมาตั้งแต่เด็ก โดยเธอนั้นเป็นลูกคนสุดท้องของ คุณพ่อ-สำเร็จ กับ คุณแม่-ดาววี พระสังคร และมีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ รัตน์มณี

ส่วน เส้นทางการเป็นนักกีฬา นั้น เจ้าตัวเล่าว่า ด้วยความที่ชอบเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อจึงสนับสนุนเต็มที่ โดยเธอจำได้ว่าตั้งแต่เรียนอยู่อนุบาลก็ได้ลงวิ่งแข่งแล้ว แต่ยังไม่ได้ชื่นชอบกีฬาประเภทไหนเป็นพิเศษ จนเมื่อเธอโตขึ้นมาอีกนิด ด้วยความที่ คุณพ่อเป็นนักมวยเก่า ก็เลยให้เธอฝึกชก มวยไทย โดยคุณพ่อฝึกสอนให้ ซึ่งเธอยอมรับว่าตอนนั้นก็ไม่ได้ชอบชกมวยไทย เพียงแต่คุณพ่ออยากให้ซ้อมให้ฝึก เธอจึงตามใจคุณพ่อ จนพอได้ซ้อมไประยะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกชอบ เพราะมองว่าเป็นกีฬาที่ท้าทายดี ซึ่งทำให้เธอเริ่มฝึกซ้อมอย่างจริงจังจนถึงขั้นได้ขึ้นต่อยบนเวที โดยได้ไปเปรียบมวยจนได้คู่ชกแล้ว แต่พอถึงวันขึ้นชก คู่ต่อสู้ของเธอไม่มา เธอก็เลยยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นชกบนเวที และหลังจากวันนั้นคุณแม่ก็มาห้ามไม่ให้ชกมวยต่อ เพราะเป็นห่วงกลัวว่าจะเจ็บตัว ซึ่งคุณพ่อก็ยอมตามคำขอร้องของคุณแม่ ทั้งนี้ หลังคุณพ่อเลิกล้มไม่ให้เธอเป็นนักมวยแล้ว คุณพ่อก็ได้ชักนำให้เธอเล่นกีฬา เซปักตะกร้อ แทน ซึ่งนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เจ้าตัวเข้ามาสู่เส้นทางการเป็นนักกีฬาเซปักตะกร้อ จนถึงขั้น เล่นเป็นอาชีพ

ในลุค “สวยมั่น” กับ ในลุค “สวยหวาน”

ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้น ป.4 คุณพ่อก็ให้มาเล่นเซปักตะกร้อ เพราะเป็นอีกกีฬาที่เขาชื่นชอบ เราก็ตามใจคุณพ่อ ก็เลยหันมาฝึกซ้อม ซึ่งก็เป็นคุณพ่ออีกนั่นแหละที่เป็นคนสอนพื้นฐานให้ และทางโรงเรียนก็ให้คุณพ่อไปสอนไปซ้อมให้ทีมโรงเรียนด้วย ตอนนั้นก็เลยมีโอกาสได้ลงแข่งในระดับประถมอยู่บ้าง ทาง ไข่มุก กล่าว พร้อมเล่าอีกว่า ยอมรับว่าไม่ได้ชื่นชอบเซปักตะกร้อมาแต่แรก แค่เล่นตามที่คุณพ่อต้องการ แรก ๆ ที่ซ้อมใหม่ ๆ ยอมรับว่าเจ็บขามาก แต่ก็อดทนเล่น ทีนี้พอได้เล่นไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มชื่นชอบและสนุกกับกีฬาประเภทนี้ ทำให้จากวันนั้นเธอก็เริ่มจริงจังกับกีฬาเซปักตะกร้อมากขึ้น จนเมื่อเรียนจบชั้น ป.6 คุณพ่อก็ให้เธอไปเข้าเรียนที่ โรงเรียนกีฬาจังหวัดนครพนม เพื่อให้เธอได้เล่นกีฬาชนิดนี้แบบจริงจัง

ช่วงที่อยู่ ป.6 ได้ไปแข่งขันตะกร้อของโรงเรียน และมีโค้ชเห็นแววเพื่อนในทีมและชวนเพื่อนในทีมเข้าโรงเรียนกีฬา คุณพ่อก็เลยอยากให้เราไปกับเพื่อนด้วย เราก็ตามใจคุณพ่อ จึงไปสอบคัดตัวเข้าโรงเรียนกีฬาจังหวัดนครพนม และที่สุดเราก็สามารถผ่านการทดสอบได้เข้าเรียนอย่างที่คุณพ่อหวัง

หลังจากเข้าเรียนที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดนครพนม ทำให้เธอจริงจังในการเล่นเซปักตะกร้อมากขึ้น พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายกับตัวเองไว้ว่า สักวันจะต้องติดทีมชาติไปเป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อไปแข่งขันระดับชาติให้ได้ ทำให้เธอพยายามทุ่มเทฝึกซ้อมเต็มที่ แต่กว่าที่เธอนั้นจะไปยืนอยู่ในจุดที่ฝันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ

กับเพื่อน ๆ นักกีฬาเซปักตะกร้อ

การเข้าเรียนที่โรงเรียนกีฬา ก็ทำให้มีความเครียดและกดดันเหมือนกันนะคะ (สีหน้าจริงจัง) เพราะกีฬาก็ต้องฝึกซ้อมให้ดี การเรียนก็ต้องไม่ตก อีกทั้งในรั้วโรงเรียนเองก็มีการแข่งขันกันสูง นอกจากจะต้องแข่งขันกับตัวเองแล้ว เรายังต้องแข่งกับเพื่อน ๆ อีก เพื่อที่จะทำให้ติดตัวจริงของโรงเรียน ซึ่งเพื่อน ๆ ที่เข้ามาแต่ละคนก็เก่ง ๆ ทั้งนั้น ทำให้เรายิ่งต้องขยันมากขึ้น เพราะฝีมือเรายังสู้เพื่อนไม่ได้ ทำให้ต้องขยันฝึกซ้อมมากกว่าคนอื่น โดยเราก็จะไปซ้อมก่อนเพื่อนครึ่งชั่วโมง เพื่อที่จะได้เก่งตามเพื่อนให้ทัน เจ้าของฉายา “นางฟ้าเซปักตะกร้อ เล่าเบื้องหลังเส้นทางนี้ของเธอ

พร้อมกับเล่าอีกว่า… นอกจากเรื่องของกีฬาแล้ว เรื่องการเรียนก็ต้องทำให้ดี ซึ่งถือเป็นอะไรที่หนักมาก เพราะตอนนั้นเธอยังเด็ก ทำให้รู้สึกว่าชีวิตช่วงนั้นเหนื่อยมาก เพราะต้องสู้ตลอดเวลา ซึ่งเธอยอมรับว่า ก็เคยมีเวลาที่ซ้อมจนเหนื่อยและทำให้รู้สึกท้อ ไม่ไหว และถึงขั้นต้องร้องไห้ออกมาก็เคย แต่เธอก็ไม่คิดที่จะถอย โดยเวลาท้อแท้ก็พยายามคิดถึงครอบครัว หรือโทรศัพท์ไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งก็ได้รับพลังบวก ได้รับกำลังใจกลับมาตลอด ทำให้มีใจสู้ต่อไปได้

ลีลา “นางฟ้าเซปักตะกร้อ”

ไข่มุกว่าคนเราเวลาที่ท้อแท้ ครอบครัวเป็นกำลังใจที่สำคัญมากที่สุดเลยค่ะ เธอยํ้ากับเราเรื่องนี้

ทั้งนี้ ก่อนที่เธอจะมาเล่นในตำแหน่ง ตัวเสิร์ฟ นั้น เธอเคยเล่นในตำแหน่ง ตัวฟาด มาก่อน โดยไข่มุกบอกว่า ตอนที่เริ่มหัดเล่นตะกร้อ เธอเริ่มจากการเป็นตัวเตะตัวฟาดตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ชอบ เพราะเป็นตำแหน่งที่คิดว่าเล่นแล้วดูเท่ดี (หัวเราะ) ทำให้เล่นตำแหน่งนี้มาตลอด จนช่วงเรียนอยู่ชั้น ม.2 ก็มีโค้ชคนใหม่เข้ามา และเห็นว่าเธอรูปร่างดีและตัวสูง จึงลองให้เธอมาเล่นเป็นตัวเสิร์ฟ ทำให้ต้องหันมาฝึกซ้อมตำแหน่งนี้ โดยเธอเผยว่า ตอนแรกที่มาเล่นตัวเสิร์ฟก็ไม่ค่อยชอบ เพราะรู้สึกว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่ท้าทายเหมือนตัวเตะ แต่หลังจากที่เล่นไประยะหนึ่ง ก็เริ่มชอบขึ้นมา เพราะว่าก็ท้าทายเหมือนกัน

ไอดอลของหนูคือ พี่โจ้-สืบศักดิ์ ที่หนูยึดเอาวิธีเสิร์ฟหลังเท้าของพี่เขามาเป็นแนวทางการฝึกซ้อมและสไตล์การเล่นของหนูเธอเล่าถึง “ไอดอลในดวงใจ” ที่เป็น “ตำนานของวงการเซปักตะกร้อไทย”

สมัยที่คว้ารองแชมป์กีฬา อปท.

หลังจาก ไข่มุก ยึดตำแหน่งตัวเสิร์ฟและติดตัวโรงเรียนมาตั้งแต่ชั้น ม.2 เธอก็มีโอกาสได้ไปแข่งขันระดับนักเรียน ระดับ อปท. ซึ่งก็สามารถคว้าแชมป์ระดับภาคมาได้เรื่อย ๆ ส่วนการแข่งขันระดับประเทศ เธอก็เคยคว้ารางวัลเหรียญเงินมาแล้วเช่นกัน ซึ่งหลังจากได้สร้างผลงานความสำเร็จไว้มากมาย พอเรียนจบชั้น ม.6 เธอก็ถูกดึงตัวเข้าไปอยู่ในอคาเดมี่ของ “สโมสรฮอนด้า ยูเนียน” และถือเป็นก้าวแรกสู่การเป็น “นักกีฬาเซปักตะกร้ออาชีพเต็มตัว” เมื่อตอนที่เธออายุได้ 17 ปี อย่างไรก็ตาม แม้เธอจะชื่นชอบการเล่นกีฬาตะกร้อ แต่เธอก็ไม่ได้เลือกที่จะเรียนต่อทางด้านกีฬาเมื่อเรียนจบชั้น ม.6 เพราะเธออยากเรียนตามที่ใจต้องการบ้าง ทำให้เธอเลือกเข้าเรียนที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีโดยเธอบอกว่า การที่เลือกมาเรียนนิเทศศาสตร์ เพราะว่าต้องการท้าทายตัวเอง เพราะเราเป็นคนพูดไม่เก่ง ไม่ค่อยกล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก จึงอยากเรียนรู้เรื่องการสื่อสาร เพื่อทำให้เรากล้าที่จะพูด กล้าที่จะสื่อสารมากขึ้น

ก่อนจบบทสนทนา “ทีมวิถีชีวิต” ถามถึง “เป้าหมายชีวิต” ของเธอ โดย ไข่มุก-จันจิรา เจ้าของฉายา “นางฟ้าเซปักตะกร้อ” บอกว่า การที่ไม่ได้เลือกเรียนต่อสายกีฬา ก็ไม่ได้แปลว่าจะทิ้งกีฬาที่รัก เพราะเธอก็ยังเป็นนักกีฬาเซปักตะกร้อของมหาวิทยาลัยอยู่ และยังคงมุ่งมั่นฝึกซ้อมและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเช่นเดิม เพราะเธอยังมีเป้าหมายสำคัญที่รอคอยอยู่ นั่นคือ “ติดทีมชาติเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขัน” นั่นเอง อย่างไรก็ตาม วันนี้เธอเดินมาถึงครึ่งทางของเป้าหมายแล้ว หลังจากได้รับโอกาสสำคัญในชีวิต เมื่อ สมาคมกีฬาเซปักตะกร้อแห่งประเทศไทยเรียกตัวเข้าไปคัดตัว ทำให้เธอได้เข้าฝึกซ้อมกับทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ซึ่งเธอเผยความรู้สึกว่า ดีใจ และรู้สึกตื่นเต้นมากตอนที่รู้ว่าเธอมีรายชื่อเข้าไปคัดตัวทีมชาติ ซึ่งเธอตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุด พร้อมกับยํ้าด้วยเสียงมุ่งมั่นทิ้งท้ายกับเราเอาไว้ว่า จะพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะความฝันสูงสุดคือ…

การติดทีมชาติไทย“.

‘รัก(ยัง)ไม่ยุ่ง…มุ่งแต่กีฬา!!’

“ไข่มุก-จันจิรา” เจ้าของฉายา “นางฟ้าเซปักตะกร้อ” บอกว่า การเล่นกีฬาให้ประสบความสำเร็จ หรือเพื่อจะไปให้ถึงจุดที่หวัง-ที่ฝันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อตั้งเป้าหมายไว้แล้ว ก็ต้องพยายามไปให้ถึง ซึ่งสำหรับตัวของเธอนั้น มองว่าการจะเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องมี “คีย์เวิร์ด 3 ข้อ” นั่นคือ “พยายาม-มุ่งมั่น-มีวินัย” โดยเธอบอกว่า อย่างหนูก็มีเป้าหมายตั้งแต่เริ่มเล่นตะกร้อว่า หนูอยากติดทีมชาติ จึงทำให้หนูตั้งใจเต็มที่เพื่อที่จะไปให้ถึงฝันนั้น จนวันที่ถูกเรียกไปคัดตัวทีมชาติเป็นครั้งแรก ตอนที่รู้เรื่อง ความรู้สึกวันนั้น หนูดีใจและตื่นเต้นมาก และทำให้หนูยิ่งมุ่งมั่นฝึกซ้อมมากขึ้น เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด“ และด้วยความที่ “ตั้งใจจะไปให้ถึงฝัน” เรื่องนี้ นี่ก็อาจทำให้ “แฟนกีฬาหนุ่ม ๆ” หลายคนคงต้องชะเง้อคอรอสาวสวยคนนี้ไปอีกพักใหญ่ ๆ หากคิดจะ เสี่ยงจีบ” สาวสวยคนนี้ นั่นเพราะเธอย้ำหนักแน่นกับ “ทีมวิถีชีวิต” ว่า ’ยังไม่คิดเรื่องนี้ เพราะอยากทำความฝันให้สำเร็จก่อน“.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน