ชีวิตของลุงตาบอดยอดนักสู้ ชาวบ้านต่างชื่นชมนับถือใจ “ลุงเจษ” นายเจษฎา จำปาทอง อายุ 54 ปี แม้จะอยู่ในโลกมืดแต่ก็มีความสามารถเฉพาะตัวซ่อมเครื่องยนต์ต่างๆ รถจักรยานยนต์ เครื่องตัดหญ้าได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ยอมงอมืองอเท้าแพ้โชคชะตาเป็นภาระให้กับใคร ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายสิบปีจนชำนาญ ถึงจะมองไม่เห็น แต่ก็ใช้สัมผัสและความจำที่แม่นยำ ทำงานสร้างรายได้ช่วยภรรยาเลี้ยงลูก 2 คน จนเรียนจบปริญญาตรีแล้ว 1 คน ส่วนอีกคนกำลังเรียนอยู่ชั้นปี 3
“ลุงเจษ” มีคู่ชีวิตคือ นางวรรณี ดินดำ อายุ 54 ปี ครอบครัวอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 31/1 หมู่ 4 ต.เนินหอม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ทุกวันลุงเจษก็จะมีเพื่อนบ้านลูกค้าแวะเวียนมาหา เอารถจักรยานยนต์ หรือเครื่องตัดหญ้ามาให้ซ่อม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกค้าประจำที่เชื่อใจในฝีมือการซ่อมแล้วก็บอกต่อๆ กันไป ส่วนลูกค้าขาจรก็มีไม่มาก แม้จะตาบอด แต่ลุงเจษสามารถทำงานซ่อมไม่ว่าจะเปลี่ยนยาง ปะยาง ซ่อมรถจักรยานยนต์ ผ่าเครื่อง ทำได้ทุกอย่าง
ลุงเจษ เล่าว่า เมื่อก่อนตนไม่ได้เป็นคนพิการ สายตามองเห็นเหมือนคนทั่วไป ตนได้เรียนรู้การซ่อมรถจักรยานยนต์ เครื่องตัดหญ้า และเครื่องยนต์อื่นๆ มาตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ฝึกฝนจนชำนาญ ต่อมาก็เช่าบ้านเปิดร้านซ่อมรถจักรยานยนต์อยู่ในกรุงเทพฯ หารายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ไม่ลำบาก แต่โชคร้ายป่วยเป็นโรคเบาหวานตั้งแต่ตอนอายุ 30 ปีเศษ เมื่อ 7 ปีก่อน เบาหวานกำเริบขึ้นตา หมอได้ช่วยทำการผ่าตัด ครั้งแรกก็ยังพอมองเห็นรางๆ แต่พอผ่าตัดครั้งที่ 2 จากนั้นก็มองไม่เห็นอีกเลย
“หลังตาบอดสนิทตนต้องอยู่ในโลกมืด แรกๆ ก็เครียดรับสภาพตัวเองไม่ได้ ใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน ที่ต้องทำใจรับสภาพและปรับตัว เพราะเราแก้ไขอะไรไม่ได้ เมื่อหันมามองครอบครัวก็เป็นห่วงภรรยาและลูกที่ยังเล็กอยู่ในวัยกำลังเรียน ภรรยามีรายได้จากการรับจ้างเดือนละ 9 พันบาท เขาเป็นคนขยันรับจ้างทำงานทุกอย่างที่จะเป็นรายได้เสริม ประหยัดเก็บออม ตนจึงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาสู้เพื่อลูกเพื่อเมีย รีบหันกลับมาตั้งหลักชีวิต ก่อนจะเปิดรับงานซ่อมเครื่องยนต์ที่บ้าน”
แรกๆ ก็ไม่ค่อยมีชาวบ้านมาใช้บริการกับตนเท่าไรนัก เพราะว่ายังไม่เชื่อมั่นว่าตนตาบอดจะทำได้จริงหรือไม่ แต่ก็มีคนที่รู้จักให้โอกาสตนได้ลงมือทำ โดยตนใช้ความชำนาญกว่า 40 ปี และอาศัยความจดจำสิ่งของเครื่องมืออะไรอยู่ตรงไหน ต้องจำให้แม่น หยิบจับจะได้สะดวก ในการซ่อมเครื่องยนต์จนเสร็จแต่ละครั้งส่วนใหญ่จะไม่เคยมีปัญหาภายหลัง ลูกค้าจึงบอกกันปากต่อปาก ทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
“ทุกคนจะเข้าใจดีว่า ถ้าเอางานมาให้ลุงเจษก็จะไม่เร่งรีบ จะทำให้รวดเร็วเหมือนคนตาดีไม่ได้ บางครั้งไม่มีอะไหล่ต้องให้ภรรยาช่วยไปซื้อในช่วงที่เขาทำงานพักกลางวัน หรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ บางครั้งลูกค้าบางคนก็จะไปหาซื้อมาให้เองบ้าง รายได้จากการซ่อมเครื่องยนต์ก็พอได้อยู่ได้กินไปวันๆ วันละ 100-200 บาท ตนทำงานจะคิดราคาถูก เพราะงานไม่เร่งรีบ ส่วนใหญ่งานที่มาซ่อมจะเป็นรถจักรยานยนต์บ้าง เครื่องตัดหญ้าบ้าง”
ด้านนางวรรณี กล่าวว่า หลังจากที่สามีเบาหวานขึ้นตาแล้วต้องเป็นคนตาบอด เขาเครียดอยู่หลายเดือน แต่เนื่องด้วยเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและความอดทนใจสู้ จึงทำให้ฟื้นตัวจากอาการป่วยและทำใจได้รวดเร็ว โดยตนจะเป็นคนคอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้างมาตลอด ลุงเจษไม่ยอมอยู่เฉยๆ หันมาใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ช่วยกันหารายได้
“ครอบครัวเราอยู่กินกันอย่างประหยัด เงินที่หาได้จะเก็บไว้ให้ลูก 2 คนเรียนหนังสือ บางทีไม่พอก็ต้องไปกู้ยืมเขาบ้าง ที่ทำทุกวันนี้ก็เพื่อลูก ชีวิตนี้ถือว่าโชคดีแล้ว ที่ลูกรักการเรียนไม่เป็นคนเกเร”
ขณะที่ นายชิตณรงค์ หวังอาษา อายุ 55 ปี เพื่อนบ้านซึ่งเป็นลูกค้าประจำกันมานานเป็น 10 ปี กล่าวว่า ตนรู้จักคุณลุงเจษตั้งแต่สายตายังปกติ สมัยก่อนนั้นลุงเจษได้เปิดร้านซ่อมเครื่องยนต์อยู่แล้วและตนก็ใช้บริการมานานแล้วด้วย พอลุงเจษประสบปัญหาเรื่องพิการทางตา แต่ตนก็ยังมั่นใจในฝีมือและนำรถมาซ่อมอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งลุงเจษก็ไม่ยอมคิดค่าแรง ตนต้องแอบเอาเงินให้กับภรรยาเป็นคนเก็บไว้ ซึ่งชาวบ้านแถวนี้จะเรียกลุงเจษว่า “ช่างเจษอัจฉริยะ ขวัญใจหมู่บ้านเนินหอม”
“ลุงเจษ” กล่าวทิ้งท้ายให้กำลังใจคนที่กำลังประสบชีวิตอยู่ในขณะนี้ ขอให้ลุกขึ้นสู้ อย่าท้อแท้ ท้อถอย เชื่อว่าคนเราถ้าตั้งใจทำแล้วทุกอย่างจะสำเร็จได้ ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน แต่เราทุกคนต้องอยู่ให้ได้ ขอให้มีสติและความอดทน เรื่องร้ายๆ จะผ่านพ้นไปได้แน่นอน
คอลัมน์ : นิยายชีวิต โดย : อสงไขย
เรื่องและภาพโดย : ณัฐวัฒน์ กุลเศรษฐ์สุวภา จ.ปราจีนบุรี
แนะนำเรื่องราวชีวิตดั่งนิยาย หรือสอบถามได้ที่ [email protected]
[[คลิก]] อ่านเรื่องราว “นิยายชีวิต” เพิ่มเติมได้ที่นี่..