ยก 2 ของศึก “มหาแมตช์” ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี ในศึกเอฟเอ คัพ รอบตัดเชือกเมื่อวันเสาร์ จบลงด้วยความสนุกไม่ต่างจากเกมแรกในลีกเมื่อ 6 วันที่แล้ว สมกับเป็นการดวลกันของ 2 ทีมระดับเฮฟวีเวตที่มาตรฐานสูงลิบของโลกลูกหนังยุคนี้…

หากแต่สิ่งที่แตกต่างคือมาตรฐานและคุณภาพเชิงลึกของทีมหนึ่งยังเหมือนเดิม ขณะที่อีกทีมนั้น คุณภาพหย่อนลงไปนิดหน่อยจากการโรเตชัน

และนั่น่ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นตัวตัดสินผลการแข่งขันในเกมนี้…

เกมนี้ เจอร์เกน คลอปป์ เลือกใช้ชุดที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ลงเป็น 11 คนแรก หลังตัวหลักหลายคนได้พักมาในเกมยุโรปกับ เบนฟิกา เมื่อกลางสัปดาห์ โดยมี อิบราฮิมา โกนาเต เสียบลงยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวจริงคู่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ขณะที่ 3 แนวรุกสลับ หลุยส์ ดิอาซ ลงเป็นตัวจริงร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน แทน ดีโอโก โชตา ที่ไม่สมบูรณ์

ส่วน เปป กวาร์ดิโอลา นั้น เลือกที่จะโรเตชัน เพราะเมื่อกลางสัปดาห์หวดกับ แอตเลติโก มาดริด มาอย่างโชกโชนจนสะบักสะบอม เกมรับใส่ นาธาน อาเก ลงมายืนคู่ จอห์น สโตนส์ โดยที่ทั้ง อายเมอริค ลาปอร์กต์ รวมถึง รูเบน ดิอาส มีชื่อที่ม้านั่งสำรอง

แดนกลาง ใส่ แฟร์นันดินโญ ลงมายืนแทน โรดรี ถอย ฟิล โฟเดน ลงมาเล่นตรงกลางแทน เควิน เดอ บรอยน์ ที่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยช่วยกันปั้นเกมรุกกับ แบร์นาโด ซิลวา โดยที่ตัวหลักอย่าง อิลคาย กุนโดกาน อยู่ที่ม้านั่งสำรอง ขณะที่แนวรุก พัก ริยาด มาห์เรซ ใช้ แจ๊ค กรีลิช ลงมาเล่นร่วมกับ ราฮีม สเตอร์ลิง และ กาเบรียล เชซุส

ในเกมเมื่อ 6 วันก่อนนั้น ครึ่งแรก “เรือใบสีฟ้า” ชิงเพรสซิงใส่จน “หงส์แดง” ไปไม่เป็น ก่อนที่ คลอปป์ จะแก้ทันควัน เปิดครึ่งหลังด้วยการชิงบีบใส่ลูกทีมของ เปป ตั้งแต่แดนหน้าแบบเกลือจิ้มเกลือ จนสุดท้ายได้ผลเสมอกลับออกมาจาก เอติฮัด สเตเดี้ยม

มาถึงเกมนี้ ลิเวอร์พูล ใช้แทคติกเดิมกับครึ่งหลังของเกมเมื่อ 6 วันก่อน บีบใส่ แมนฯ ซิตี ตั้งแต่แดนบนทันที และด้วยทีมชุดนี้ที่ เปป จัดลงมา โดยเฉพาะในแดนหลังและแดนกลางที่คุณภาพดร็อปลงไป ทำให้การต่อบอลสั้นเซตเกมขึ้นมาจากแดนหลังอย่างที่พวกเขาถนัดนั้น มีปัญหาตะกุกตะกักแทบจะตลอดเวลา

เปรียบเหมือนเวลามวยคู่เอกที่ฝีมือใกล้เคียงจะขึ้นเวทีชกกัน ฝ่ายไหนที่เนื้อตัวเป็นรอง อ่อนเนื้อสักชิ้น หรืออ่อนนมสักแก้วเดียว พอขึ้นสีงเวียนเสียดสีกัน อาการมันออกเห็นชัด ยิ่งมาเสียประตูแรกง่ายดายจากลูกตั้งเตะ จากการที่ โกนาเต จะโหม่งประตูที่ 3 ของตัวเองในสีเสื้อ “หงส์แดง” เข้าไป ยิ่งทำให้ “เรือใบสีฟ้า” ตกเป็นรอง

บวกกับพอมาเสียลูกที่ 2 จากการสมนาคุณของ แซค สเตฟเฟน ทำให้สถานการณ์มันยิ่งแย่ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวินาทีนั้น นายทวารอเมริกันคิดอะไรอยู่ หรืออยากเลียนแบบมือ 1 อย่าง เอแดร์ซอน ที่เคยเคลียร์ลูกจากเส้นแบบชิลล์ เมื่อเกมที่แล้ว เลยอยากเอาบ้าง ผิดกันแต่ว่าคราวนี้ผลลัพธ์คือบอลไปกองอยู่ก้นตาข่ายตัวเอง

แถมพอท้ายครึ่งแรกโดนลูกยิงที่สุดเฉียบขาดของ มาเน ตามห่างถึง 0-3 งานนี้ “เรือใบสีฟ้า” เป็นอันสลบ…!!!

ดูสถิติแล้วก็ถือว่าเหลือเชื่อเหมือนกันที่ “หงส์แดง” ยิงเข้ากรอบ 3 ครั้งในครึ่งแรก เป็นประตูทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความเฉียบขาดของลูกทีม เจอร์เกน คลอปป์ ว่ามีมากแค่ไหน…

แม้ครึ่งหลังเปิดมาไม่นาน แมนฯ ซิตี จะตีไข่แตกได้จาก แจ๊ค กรีลิช แต่เหมือน “หงส์แดง” ไม่สะท้านเสียแล้ว ประตูของ กรีลิช ไม่ได้ทำให้โมเมนตัมของเกมกลับไปเป็นของ “เรือใบสีฟ้า” สักเท่าไหร่ สุดท้ายประตู 2-3 ของ แบร์นาโด ซิลวา ในนาทีสุดท้ายของเกมนั่นแหละ ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล เริ่มปั่นป่วนอย่างจริง ๆ จัง ๆ แต่มันก็สาย เวลาเหลือน้อยเกินไปที่ลูกทีมของ เปป จะบดเอาประตูตีเสมอได้

สุดท้ายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ผ่านเข้ารอบชิงดำ และยังอยู่ในเส้นทางลุ้น 4 แชมป์ ส่วน ซิตี เหลือลุ้นแค่ 2 ถ้วย คือพรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งทั้ง 2 ถ้วยนั้น ล้วนมี “หงส์แดง” เป็นขวากหนามทั้งสิ้น

นาทีนี้ แฟน แมนฯ ซิตี คงได้แต่ภสวนาว่า ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ จะไม่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้พวกเขาเป๋ และไม่เป็นจุดเริ่มของโมเมนตัมที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ควบเข้าป้ายทั้ง 2 ถ้วยที่ว่า…

ถ้าเป็นอย่างนั้น มีหวัง เปป กวาร์ดิโอลา และแฟน ๆ แมนฯ ซิตี ทั้งโลก คงกระอักเลือด…