หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ ไทมส์ รายงานเมื่อไม่นานมานี้ ว่าเจ้าหน้าที่การค้าของลาวและไทยต่างกระตือรือร้นที่จะส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ เพื่อก้าวผ่านผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากต้องมีการปิดพรมแดนระหว่างกัน เพื่อควบคุมโรค

นายคำเพ็ง สายสมเพ็ง รมว.อุตสาหกรรมและการค้าของลาว พร้อมด้วย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ของไทย ร่วมเป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกลอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว เพื่อหารือแนวทางการกระตุ้นการค้า รวมถึงพูดคุยแผนความร่วมมือในปีนี้และในอนาคต

นายคำเพ็งกล่าวถึงประเด็นเฉพาะ 4 ประการ อันเกี่ยวข้องกับความร่วมมือในอนาคต เช่น การเปิดพรมแดนอีกครั้ง เพื่อผลักดันการค้าทวิภาคีให้บรรลุเป้าหมายการค้าสองทางให้ได้มูลค่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 366,000 ล้านบาท) ภายในระยะเวลาอีก 3 ปีข้างหน้า และการอำนวยความสะดวกการค้าบริเวณชายแดน ด้วยการจัดทำเอกสารผ่านระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window)

ทั้งนี้ ตัวเลขที่รายงานในการประชุมประจำปีของภาคอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ระบุว่าลาวส่งออกสินค้าสู่ไทยเป็นมูลค่า 2,509 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 83,600 ล้านบาท) และนำเข้าสินค้าจากไทย 2,993 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 99,970 ล้านบาท)

อนึ่ง รัฐบาลลาวกำหนดเป้าหมายเศรษฐกิจรายปี เติบโตอย่างน้อยร้อยละ 4 ตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี 2568 แม้ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่า จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เมื่อใด โดยกฤษฎีกาซึ่งลงนามโดย นายพันคำ วิพาวัน นายกรัฐมนตรีลาว คาดการณ์ว่า ภาคการเกษตรจะเติบโตเฉลี่ยรายปีที่ร้อยละ 2.5 และครองสัดส่วนร้อยละ 15.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ภายในปี 2568

สำหรับภาคอุตสาหกรรมคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยรายปีที่ร้อยละ 4.1 และครองสัดส่วนร้อยละ 32.3 ของจีดีพีภายในปี 2568 เช่นกัน ขณะที่ภาคการบริการจะเติบโตเฉลี่ยรายปีที่ร้อยละ 6 และครองสัดส่วนร้อยละ 40.7 ของจีดีพี ภายในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า

นอกจากนั้น รัฐบาลลาวคาดการณ์ว่าภาคภาษีศุลกากรจะเติบโตเฉลี่ยรายปีที่ร้อยละ 5.8 และครองสัดส่วนร้อยละ 11.7 ของจีดีพีภายในปี 2568 โดยรัฐบาลเชื่อว่า รายได้ต่อหัวรายปีของประเทศจะแตะ 2,880 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 95,000 บาท) ภายในปีดังกล่าว.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : XINHUA