เห็นข่าวมาหลายสัปดาห์ว่าผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข และ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงฯ พยายามปรับโควิด-19 เข้าสู่ “โรคประจำถิ่น” ช่วง 4 เดือนนี้ ภายใต้เงื่อนไขไวรัสไม่กลายพันธุ์รุนแรง

โควิด-19 กำลังจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นแล้วหรือ? มันมาเป็นโรคประจำถิ่นของประเทศไทยได้อย่างไร? ในเมื่อ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังอยู่ที่ 25,456 ราย ตาย 77 ศพ

โรงพยาบาลจังหวัดหลายแห่ง และโรงพยาบาลอำเภออีกหลายแห่ง เตียงคนไข้เต็ม! เนื่องจากเด็กเล็กและผู้สูงอายุที่ติดเชื้อส่วนใหญ่อาการรุนแรง จะปล่อยให้นอนในศูนย์พักคอยตามวัด-โรงเรียน ที่มี อสม.ช่วยดูแลไม่ได้หรอก!

อย่างน้อยต้องนอนในโรงพยาบาลอำเภอ ถ้าอาการหนักต้องส่งเข้าโรงพยาบาลจังหวัด ส่วนศูนย์พักคอยไม่ได้แจกยาฟาวิพิราเวียร์ให้ทุกคน เนื่องจากยาไม่พอ! ใครอาการไม่หนักก็ให้ยาแก้ปวดหัวและยาแก้ไอ ถ้าหนักจึงจะให้ฟาวิพิราเวียร์

หรือบางคนติดเชื้อแล้วทางบ้านพร้อม คือมีห้องนอน ห้องน้ำ แยกสัดส่วนกับสมาชิกในครอบครัว ก็ขอกลับมานอนดูอาการและรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้

ส่วนที่มีปัญหาคือคนมีเงิน ถ้าสมาชิกในบ้านติดเชื้อโควิด ไม่มีใครอยากนอนอยู่บ้าน ก็ต้องวิ่งหาโรงพยาบาลเอกชน คนป่วยเจอกันมาหลายโรงพยาบาล ต้องวางเงินสดมัดจำก่อน 100,000 บาท จึงจะเข้านอนในโรงพยาบาลเอกชนได้

แม้จะมีกรมธรรม์ประกันชีวิต-ประกันสุขภาพ แต่เขาไม่สน เพราะรับแต่เงินสด! หลายคนเข้าไปนอนโรงพยาบาลเอกชนย่านสุขุมวิท 3-4 วัน จ่ายไป 4-5 แสนบาท สภาพความจริงมันเป็นแบบนี้ และที่ว่า “เจอ จ่าย จบ” มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่รัฐบาลแจ้งข่าวจะให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น แล้วชาวบ้านไปหาซื้อยากินเองตามร้านขายยาทั่วไปได้หรือเปล่า?

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงกว่า 25,000 ราย/วัน เริ่มถามกันแล้วว่า ต้องฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 เข็มที่ 5 กันหรือเปล่า?

ช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. 64 “พยัคฆ์น้อย” ฉีดวัคซีนแบบไขว้ 3 เข็ม (2 ยี่ห้อ) คือฉีดแบบตามมีตามเกิด ตามเวลา และโอกาสที่หาวัคซีนได้ช่วงนั้น หลังจากฉีดเข็มที่ 3 ผ่านไป 24 วัน จึงไปโรงพยาบาลเอกชนเพื่อเจาะเลือดตรวจภูมิฯ ได้แค่ 867

ถัดจากนั้นอีก 3 เดือน ไปเจาะเลือดเช็กภูมิฯ ที่โรงพยาบาลอีกอีกแห่ง เหลือภูมิฯ แค่ 178 จึงต้องฉีดวัดซีน mRNA ยี่ห้อโมเดอร์นาเป็นเข็มที่ 4 เมื่อ 23 ธ.ค.64 ต่อมา 25 ก.พ.65 ไปเจาะเลือดเช็กภูมิฯ ขึ้นถึง 10,270 ซึ่งถือว่าสูง! จึงชะลอฉีดเข็ม 5 ออกไปก่อน ส่วนคนที่บ้านก็ฉีดเหมือนกัน พร้อมกัน เช็กภูมิฯ อยู่ระดับใกล้เคียงกัน ตัวเลขต่างกันแค่ 100 กว่า ๆ 

สรุป! ถ้ารัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขรีบจัดหาวัคซีน mRNA มาให้คนไทยฉีดตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องวุ่นวายฉีดกันจนแขนพรุน 3-4 เข็ม ส่วนที่ฉีด 5 เข็มไปแล้ว ก็มีพอสมควร

ดังนั้นจึงต้องสะกิด! พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทินว่าอย่ารีบ “เท” ชาวบ้าน! เพราะยากินต้านโควิดยังมีไม่พอ ยังไม่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป และสภาพความจริงของคนติดเชื้อ ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั่นแหละ

แถมมีข่าวผู้ขาย ATK ซี้ปึ้กกับฝ่ายการเมือง กำลังร่วมมือกับจีนเพื่อผลิตยากินต้านโควิด เห็นว่าใกล้จะขอ อย. ถ้าผ่าน อย. ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยาผูกขาดขายให้คนไทยได้เพียงรายเดียว หรือว่าองค์การเภสัชกรรมจะช่วยเหมาซื้อมาแจกชาวบ้าน?

หลายคนเคยบ่นตอนฉีดวัคซีนในทำนองว่า “ไม่รู้ว่าฉีดน้ำเกลือ ฉีดน้ำเปล่าเข้าไปในร่างกาย เพราะไม่รู้สึกอะไรเลย” แต่พอถึงคิวยากินต้านไวรัส ขอดักคอ! รัฐบาลอย่าไปอุดหนุนซื้อ “ดิน” มาให้ชาวบ้านกินต้านไวรัสนะจ๊ะ!!.

———————-
พยัคฆ์น้อย