คดีตายปริศนาของแตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ แย่งพื้นที่สื่อไปหมด ตำรวจยังไม่สรุปคดี บอกแต่ไม่ใช่ฆาตกรรม แต่เบี่ยงเบนความทุกข์สาหัสของชาวบ้านจากวิกฤติน้ำมันพุ่งซ้ำเติม “ของแพงทั้งแผ่นดิน” ได้ชะงัก รัฐบาลอยู่แต่หอคอยงาช้าง ให้ประชาชนนั่งรถเมล์งี้ ใช้รถส่วนตัวเท่าที่จำเป็นงี้ อัตตาหิ อัตตโนนาโถ งี้ นายกฯ ก็นั่งรถเมล์มาทำงาน อย่านั่งแต่รถกันกระสุนแอร์เย็นฉ่ำคันละ 20 ล้าน จะได้อยู่จักรวาลเดียวกับประชาชนบ้างสิ

แต่อีกไม่นานหรอก ที่เสียงร้องนี้จะดังขึ้นเรื่อย ๆ

ประเทศนี้เผชิญกับ “มหาวิกฤติ” ที่รอเวลาบึ้มเท่านั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายอานันท์ ปันยารชุน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ประเด็นที่แหลมคมและเป็น “กับดัก” ใหญ่ของชาติ ทั้งเรื่องการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนรุ่นใหม่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่การขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และถูกปราบปรามอย่างรุนแรง มีการใช้ “กฎหมาย ม.112” จับเข้าคุกนับร้อย ๆ คน แม้จนบัดนี้ก็ไม่เลิก

นายอานันท์พูดถึงการออกมาเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ว่า “ตอนนี้มันหมดเวลาของคนรุ่นเราแล้ว รัฐบาลต้องมองถึงอนาคต คนรุ่นเก่าควรอยู่ข้างเวที ให้คนรุ่นใหม่จะอายุเท่าไหร่ก็ตามที่มีความคิดใหม่ ๆ มาบริหารประเทศ” ความคิดเก่า ๆ ใช้ไม่ได้แล้ว แม้แต่เหลน 3 ขวบของตนเอง ก็มีวิธีคิดที่โต้ตอบกับคุณทวดได้ “อย่ามองแบบขวางหูขวางตาไปหมด จะมีปัญหา”

ขณะที่การใช้ ม.112 นายอานันท์ บอกว่า ส่วนตัวไม่มีปัญหาที่จะมี ม.112 แต่ควรมีการประนีประนอม หาทางพูดคุยกัน หลายประเทศที่ปกครองโดย “พระเจ้าแผ่นดิน” อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือที่มีกฎหมายนี้อยู่ ก็อาจไม่นำมาใช้ ที่ใช้ก็พยายามทำให้โทษเบาบางลง ไม่ถือเป็นอาชญากรรม ส่วนมากจะฟ้องในทางแพ่ง

“ปัญหาคือใครฟ้องก็ได้ บางกรณีสั่งฟ้องนั้นถือว่าโง่เง่า ใช้อำนาจไม่ถูกต้อง ควรระบุว่าจะให้ใครฟ้อง เช่น นายกฯ รมว.มหาดไทย รมว.ยุติธรรม ต้องมีคนรับผิดชอบทางการเมือง อย่าไปดึงสถาบันลงมา สถาบันต้องอยู่เหนือการเมือง ผมอยากแกล้งคุณ ผมก็ไปรายงานตำรวจ ตำรวจกลัวว่าถ้าไม่รับแจ้งความก็มีปัญหา ก็ต้องเสนอขึ้นไปจนถึงยอดสุด ก็มีการสั่งฟ้อง”

นายอานันท์ยังพูดถึงเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกว่า ตนไม่รู้ แต่ต่างประเทศลาออกกันง่าย ๆ ถ้ามีการกล่าวหาหรือมีข้อสงสัย แม้แต่เรื่องบุคลิกของตัวเองหรือนโยบาย พร้อมยกตัวอย่าง พล.อ.สุจินดา คราประยูร ตอนเหตุการณ์พฤษภาฯ 35 แม้ “ในหลวง” ไม่ได้ทรงรับสั่งเรื่องให้ลาออกขณะเข้าเฝ้าฯ กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เพียงรับสั่งว่า การสู้รบประชาชนเสียหาย ไม่มีผู้ชนะ “ท่านก็มีความละอาย ลาออก เรื่องนี้จึงอยู่ที่จิตสำนึก”

หลายคนอาจไม่รู้ นักข่าวเรียกนายอานันท์ว่า “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” นามนี้ไม่ได้มาแบบบังเอิญ แต่บ่งบอกถึงภูมิหลัง ชาติกำเนิดว่า อยู่ในสังคมชั้นสูง ทำงานสำคัญของชาติมานับไม่ถ้วน เป็นนายกฯ ถึง 2 ครั้ง เป็นประธานคณะร่างรัฐธรรมนูญปี 40 ที่ถือว่าเป็นฉบับประชาชน เป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ เป็นประธานยูนิเซฟไทย ได้รับรางวัลแมกไซไซ เคยเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐ แคนาดา เยอรมนี เป็นคนสำคัญเตรียมให้รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ ปราโมช เปิดสัมพันธ์กับจีน แต่กลับต้องเผชิญชะตากรรมถูกกล่าวหาฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ เทียบกับปัจจุบันก็ร้ายแรงเท่ากับ ม.112 นั่นล่ะ!?!

เหนืออื่นใด นายอานันท์ อายุกว่า 90 ปีแล้ว ผ่านวิกฤติบ้านเมืองแทบทุกด้าน ตกผลึกทางความคิดจนลึกซึ้ง มองโลกด้วยความจริง ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ล้วนกลั่นจากหัวใจ มิได้หิวแสง หาตำแหน่ง นอกจากความห่วงใยและหวังดีต่อบ้านเมืองเพราะนี่อาจเป็นการพูดครั้งสุดท้าย

คำพูดนายอานันท์ จึงทรงคุณค่า มาถูกที่ ถูกเวลา เป็นการส่งสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ตัว พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมรู้ดีว่า ทำทุกอย่างเพื่อสืบต่ออำนาจหรือไม่ และยังกรุยทางจะอยู่ต่ออีก 8 ปี ทั้งที่อยู่แล้วประเทศชาติดีขึ้นหรือเสื่อมทรุดลงทุกด้านกันแน่ ทำไมจะให้รอของขวัญถึงปีใหม่อย่างที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ 3 ป. ออกมาซื้อเวลาอยู่ต่ออีก หาก 3 ป.รักชาติกันจริง เปิดสภาพฤษภาคมนี้ รีบผ่าน 2 กฎหมายลูก แล้วยุบสภาคืนอำนาจประชาชนเหอะ

กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดีอยู่แล้ว.

——————
ดาวประกายพรึก