“พาร์กินสัน” อีกหนึ่งโรคที่ใครหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่เคยทราบบ้างหรือไม่ว่า เมื่อพบ “เดินช้า หยิบของช้า ไม่แสดงสีหน้า อาการสั่น มีปัญหาการเดิน” อาการเหล่านี้อาจเป็นอาการบ่งชี้ของผู้ป่วยพาร์กินสันทั้งนั้น
โดย นายแพทย์วุทธิกรณ์ พันธุ์ประสิทธิ์ อายุรแพทย์ระบบประสาท โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ และแพทย์ประจำศูนย์ PRINC Recovery Center หรือ PNKG ในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ อธิบายถึง โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โรคสันนิบาตลูกนก” ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาท (Progressive Neurodegenerative Disease) ที่สร้างสารสื่อประสาท “โดพามีน” ส่งผลให้ระดับของ โดพามีน ในสมองลดลง ทำให้การควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายทำงานผิดปกติ โรคพาร์กินสันจึงนับเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ประสาทที่พบมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากโรคอัลไซเมอร์
“จากสถิติพบผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมากกว่า 1 ล้านคนทั่วโลก มักพบในประชากรที่อายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป หรือมีคนในครอบครัวป่วยเป็น พาร์กินสัน โดยเฉพาะญาติสายตรง แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยโรคพาร์กินสันในประเทศไทยจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ”
สำหรับอาการของโรคพาร์กินสัน ได้แก่ อาการสั่นเคลื่อนไหวช้า เดินช้า ทำงานช้า ลายมือเปลี่ยน พูดช้า กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ข้อยึดติด เสียสมดุลการทรงตัว ก้าวเดินลำบาก ก้าวสั้น ๆ ถี่ ๆ แสดงความรู้สึกทางสีหน้าไม่ได้ ลักษณะคล้ายสีหน้าไร้อารมณ์ ท้องผูก การรับกลิ่นลดลง การนอนผิดปกติ นอนละเมอออกท่าทาง ตลอดจนมีความผันผวนทางอารมณ์ ส่วนแนวทางการวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน ได้แก่ การซักประวัติ การตรวจร่างกาย รวมทั้งการเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Brain MRI)
“ผู้ป่วยบางรายมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน แต่แตกต่างกันตรงสามารถรักษาให้ขาดหายได้ หรือกลุ่มโรคพาร์กินสันเทียม” มักพบในผู้ป่วยที่ใช้ยาบางชนิด (โดยเฉพาะยารักษาโรคจิตเวช)
สำหรับโรคพาร์กินสัน แบ่งเป็น 5 ระยะ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นที่มีอาการสั่น เมื่อมีการหยุดพักหรือไม่มีการเคลื่อนไหวอวัยวะ ไปจนถึงการทรงตัวที่ผิดปกติ โอกาสหกล้มได้ง่าย จนถึงระยะอาการโรคที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อแข็งแกร่งมากขึ้น เคลื่อนไหวไม่ได้เป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถรับประทานอาหารได้
ส่วนสาเหตุของโรคพาร์กินสัน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่
ปัจจัยทางพันธุกรรม : มีประวัติคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม : การได้รับสารพิษหรือสารเคมีจำพวกโลหะหนัก เช่น แมงกานีส ทองแดง
โดยการสัมผัส การรับประทาน การสูดดม, การอาศัยอยู่ในเขตอุตสาหกรรม, การได้รับบาดเจ็บทางสมอง
“ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถช่วยประคับประคองให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยาวนานที่สุดได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ” เช่น การรับประทานยา, การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึก ซึ่งจะใช้วิธีนี้ในผู้ป่วยรายที่อาการของโรค ดำเนินไปสู่ระยะท้ายแล้ว และการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความแข็งแรง และความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ขณะเดียวกันแนวทางการดูแลและฟื้นฟูของศูนย์ PNKG Recovery Center ที่ใช้วิธีการรักษาแบบไคโกโดะ (Kaigo-Do) หรือวิธีการฟื้นฟูตามแบบฉบับญี่ปุ่นที่ถูกประยุกต์ใช้ฟื้นฟูผู้ป่วย โดยเฉพาะโรคพาร์กินสันในประเทศไทย โดยมี “5 หัวใจหลัก” ในการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับ
1) น้ำในปริมาณที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน
2) การได้ขยับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ฝึกทำกิจกรรมเดินวันละ 2 กิโลเมตร
3) โภชนาการ ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามที่นักโภชนาการออกแบบและแนะนำ
4) การดูแลเรื่องการขับถ่ายให้เป็นไปตามธรรมชาติ ตลอดจน
5) การพิจารณาลดยาโดยแพทย์เมื่อสภาวะร่างกายเข้าสู่เกณฑ์ดี และที่สำคัญผู้ป่วยจะได้รับการดูแลด้วยวิธีการไคโกโดะ (Kaigo-Do) ซึ่งเป็นวิธีการดูแลแบบฉบับญี่ปุ่น ที่มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยขยับร่างกายเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุด โดยมีผู้เชี่ยวชาญให้การดูแลอย่างใกล้ชิดในแบบแผนการฟื้นฟูเฉพาะบุคคล (Intensive Personalized Care Plan) ซึ่งจะทำให้การฟื้นฟูร่างกายฟื้นตัวกลับมาเร็วขึ้น และยังป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคได้ด้วย ถึงแม้จะโรคพาร์กินสันจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ คนรอบข้างจึงควรทำความเข้าใจและคอยช่วยดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นขึ้น
ทั้งนี้ หากเรายิ่งตรวจเจอเร็ว รักษาเร็ว “ผู้ป่วยพาร์กินสัน” ก็มีโอกาสที่จะฟื้นฟูได้ โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวทำความเข้าใจผู้ป่วยพาร์กินสันมากขึ้น ดูแลผู้ป่วยพาร์กินสันที่ถูกวิธี ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า..
………………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”