เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมาพบกับ “The 355 (ปฏิบัติการสวยลับ)” ภาพยนตร์สายลับพลังหญิง ที่รวมเอา 5 นักแสดงสาวแถวหน้าของฮอลลีวูด นำโดย เจสสิก้า แชสเทน, ไดแอน ครูเกอร์ , เพเนโลเป ครูซ, ลูปิต้า ยองโก้ และ ฟ่านปิงปิง มาถ่ายทอดผลงานแนวแผนสมคบคิด อัดแน่นด้วยแอ๊คชั่นสุดมันส์ สะท้อนให้เห็นถึงภาพวีรสตรีสายลับ ผู้อยู่เบื้องหลังหลาย ๆ ความสำเร็จ โดยมาพร้อมความแข็งแกร่งและไหวพริบในการปกป้องโลก ร่วมด้วยนักแสดงมากฝีมือ อย่าง เอ็ดการ์ รามิเรซ และ เซบาสเตียน สแตน ผลงานผู้กำกับ ไซม่อน คินเบิร์ก ที่การันตีด้วยฝีมือด้วยผลงานมากมาย โดย เจสสิก้า แชสเทน ยังนั่งแท่นผู้อำนวยการสร้าง ร่วมกับ เคลลี่ คาร์ไมเคิล เป็นต้น วันนี้ “มูฟวี่ โซน” ขอพาแฟน ๆ มาเจาะลึกเบื้อหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนใคร เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนพบกับความมันส์และพลังหญิงไปพร้อมกัน!

ปักหมุดเรื่องย่อ

ท่ามกลางแอ๊คชั่นอันพุ่งพล่านในหลายพื้นที่ทั่วโลก ตั้งแต่ร้านกาแฟในปารีส ตลาดในโมร็อกโก ไปจนถึงโรงประมูลอันหรูหราที่เซี่ยงไฮ้ ทีมสายลับสาวทั้งสี่จะหลอมรวมความภักดีเพียงพอที่จะสามารถปกป้องโลกเอาไว้ได้ หรือไม่ก็อาจทำให้พวกเธอถูกฆ่าตาย

เมื่ออาวุธลับสุดยอดตกไปอยู่ในมือทหารรับจ้าง เจ้าหน้าที่ซีไอเอสุดแสบ ทำให้ “เมสัน เมซ บราวน์” (เจสสิก้า แชสเทน) ต้องร่วมมือกับ “มารี” (ไดแอน ครูเกอร์) สายลับตัวฉกาจชาวเยอรมัน, “คาดิจาร์” (ลูปิต้า ยองโก้) อดีตพันธมิตร MI6 (เอ็มไอซิกซ์) และผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ล้ำสมัย รวมถึง “กราเซียล่า” (เพเนโลเป ครูซ) นักจิตวิทยาชาวโคลอมเบียมากฝีมือ ในภารกิจสุดอันตราย เพื่อนำสุดยอดอาวุธลับนี้กลับคืนมา ในขณะที่ต้องพะวงกับ “หลินหมี่เชิง” (ฟ่านปิงปิง) หญิงสาวลึกลับที่คอยติดตามทุกการเคลื่อนไหวของพวกเธอทั้ง 4 คนอีกด้วย ซึ่งหากพวกเธอทำปฏิบัติการครั้งนี้ไม่สำเร็จ โลกอาจจะเลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็เป็นได้!

เปิดเบื้องหลังความหมายของ “The 355” กับวีรสตรีลึกลับ

เชื่อกันว่าเป็นปริศนาลึกลับชิ้นสุดท้ายแห่งสงครามปฏิวัติ นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของสายลับปริศนาที่รู้จักเพียงภายใต้ชื่อ “รหัส 355” เจ้าหน้าที่หญิงในชีวิตจริงผู้นี้ มีบทบาทสำคัญในวงในสายลับ “Culper Spy Ring” ของ จอร์จ วอชิงตัน โดยได้ช่วยถ่ายทอดข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทหารอังกฤษให้แก่นายพลอเมริกันได้รับทราบ รหัสสายลับที่เป็นตัวเลขเป็นส่วนหนึ่งของระบบซับซ้อน ที่พัฒนาขึ้นเพื่อปกปิดชื่อและสถานที่ของสายลับทั้งหมดให้เป็นความลับ และมันก็ได้ผลที่ดีเกินไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลายร้อยปีผ่านไป ก็ยังไม่มีใครรู้ชื่อจริงของสายลับสาวคนดังกล่าว แต่ความสำเร็จอันก้าวล้ำของเธอนั้นยังไม่ถูกลืมเลือน จนกระทั่งบรรดาหญิงสาวที่ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองในปัจจุบันบางครั้งต่างเรียกขานกันและกันว่า “355” ซึ่งเป็นชื่อที่เหมาะเจาะสำหรับภาพยนตร์ที่รวมดาวนักแสดงสาวชื่อดังระดับนานาชาติ มาไว้ในภาพยนตร์สมคบคิดจารกรรมสุดมันส์เรื่องนี้!

เจสสิก้า แชสเทน หนึ่งในนักแสดงสาว และผู้อำนวยการสร้าง เผยว่า “ชื่อเรื่องมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากมีผู้หญิงจำนวนมากที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่เคยมีใครรู้เกี่ยวกับพวกเธอเลยไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม แม้เมื่อคุณอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ก็ยังหายากมากที่จะพบเรื่องราวของหญิงสาวผู้เก่งกาจเหล่านี้และสิ่งที่พวกเธอทำสำเร็จ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีชื่อว่า ‘The 355’ ซึ่งเป็นเกียรติแก่บรรดาวีรสตรีที่ไม่เป็นที่รู้จัก เป็นการเสริมสร้างพลังความแข็งแกร่งและความสำเร็จของพวกเธอ และเป็นการกล่าวคำ ‘ขอบคุณ’ ด้วย”

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่หลายประเทศ แสดงถึงความสามารถที่แตกต่างหลากหลายและการผสมผสานของตัวละครหญิงซึ่งแต่ละคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีพรสวรรค์เฉพาะทางในแง่มุมของสายลับ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้และปฏิบัติการภาคสนาม ความรู้ด้านเทคโนโลยีล้ำสมัย การเป็นนักแม่นปืน หรือความฉลาดทางด้านจิตวิทยา โดยรวมแล้ว พวกเธอฉลาดเฉียบแหลมและเป็นนักฆ่าหากเมื่อจำเป็น เมื่อรวมทีมกันแล้ว ก็ไม่มีใครหน้าไหนมาหยุดยั้งพวกเธอได้

ลงลึกจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ “The 355”

ต้นกำเนิดของภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มขึ้นที่ “เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ปี 2017” เมื่อ เจสสิก้า แชสเทน ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตัดสินของงานนี้ ร่วมกับ ฟ่านปิงปิง ที่จะกลายมาเป็นนักแสดงของเรื่องอีกคน และ เจสสิก้า สังเกตเห็นโปสเตอร์โฆษณาภาพยนตร์แอ๊คชั่นที่กำลังจะเข้าฉายทั่วเมืองตากอากาศเฟรนช์ริเวียร่า ที่ล้วนแต่นำแสดงโดยดาราชายจากหลากหลายประเทศ มันกระตุ้นเธอให้สงสัยว่า ในเมื่อมีนักแสดงหญิงมากความสามารถมากมายระดับนานาชาติ ทำไมจึงไม่มีใครคิดจะนำพวกเธอมารวมกันในภาพยนตร์เรื่องเดียว

เจสสิก้า จึงมองหาคู่หูผู้สร้างภาพยนตร์ในอุดมคติที่จะช่วยทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริง โดยเธอหันไปหาผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ไซม่อน คินเบิร์ก ซึ่งมีประวัติการทำงานอย่างยาวนานในฐานะนักเขียน ผู้กำกับ และโปรดิวเซอร์ผู้เคยนำเสนอผลงานฮิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา อาทิ “Mr.&Mrs. Smith”, “Sherlock Holmes”, “Cinderella”,  “The Martian”, “Deadpool”,  “Logan” และภาคต่อมากมายในแฟรนไชส์ “X-Men” ทันทีที่เขาได้ยินแนวคิดของเธอ ไซม่อน ก็อาสาสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับ เจสสิก้า และ เคลลี่ คาร์ไม่เคิล รวมถึงลงมือกำกับด้วย นอกจากนี้เขายังให้เครดิตบทภาพยนตร์กับ เทเรซ่า รีเบค นักเขียนบทละคร นักเขียนบท และนักประพันธ์รางวัลชนะเลิศอีกด้วย

“ผมรักหนังสายลับและอยากจะทำหนังสักเรื่องที่ดูเหมือนหนังสายลับเวอร์ชั่นใหม่มาโดยตลอด” ไซม่อน คินเบิร์ก  เปิดใจ พร้อมพูดถึงถึงความสัมพันธ์แบบมืออาชีพกับ แชสเทน ที่มีมาจนถึงเรื่อง “The Martian” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2015 ด้วยว่า “ความคิดของเจสสิก้าในการสร้างภาพยนตร์สายลับหญิงล้วนให้ความรู้สึกแปลกใหม่และชัดเจนในคราวเดียวกัน ความคิดเริ่มแรกของผมคือ ‘เห็นชัดเจนว่ามีคนทำหนังแบบนี้มาก่อน’ ผมใช้พลังสมองของผมจากภาพยนตร์สายลับทั้งหมดที่ผมได้ดูในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและยังไม่มีใครทำ ผมตื่นเต้นกับแนวคิดนี้ และเจสกับผมก็เริ่มพัฒนาแนวคิดร่วมกันโดยเราเริ่มพูดถึงเรื่องราวและตัวละคร จากนั้นเราก็เริ่มพูดถึงนักแสดงที่เราอยากเชิญมาเล่น เราต้องการให้รู้สึกมีความเป็นสากล มีพลังและสมจริง” 

หัวใจสำคัญคือการแคสติ้งนักแสดง

การเสริมส่งพลังเป็นหัวใจสำคัญในการคัดเลือกนักแสดงในบทหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมผู้สร้างติดต่อหานักแสดงหญิงที่ เจสสิก้า ต้องการร่วมงานด้วยมานานแล้ว ได้แก่ เพเนโลเป ครูซ และ ลูปิต้า ยองโก้ ผู้ชนะรางวัลออสการ์ รวมถึง ฟ่านปิงปิง และ ไดแอน ครูเกอร์ นักแสดงหญิงเหล่านี้จะไม่เพียงแต่แสดงใน “The 355” เท่านั้น แต่ทีมผู้สร้างยังต้องการให้พวกเธอส่งเสียงมุมมองที่สร้างสรรค์ในโปรเจคท์นี้อีกด้วย

 เจสสิก้า เผยว่า “ฉันมักพูดอย่างตรงไปตรงมาเสมอถึงว่าผู้หญิงในวงการภาพยนตร์ได้รับการปฏิบัติอย่างไรในอดีตและควรจะได้รับการปฏิบัติต่อไปอย่างไร เป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันที่จะสร้างภาพยนตร์ที่เรามีนักแสดงที่ไม่ใช่แค่ถูกจ้างงาน แต่ต้องมีความเป็นเจ้าของในผลงานของตนเองด้วย และสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นโดยผู้คนที่นั่งอยู่ในสำนักงานในลอสแอนเจลิส  แต่จะถูกสร้างขึ้นได้โดยครีเอทีฟในฉาก”

นี่จะเป็นหนังสายลับที่ไม่เหมือนใคร ที่ไม่ใช่แค่เพราะเพศของนักแสดงเท่านั้น! เทเรซ่า รีเบ็ค ผู้เขียนร่วม เปิดใจว่า “ตัวละครทั้งหมดเหล่านี้กล้าหาญและมีไหวพริบอย่างไม่น่าเชื่อ และพวกเธอทุกคนมีแรงจูงใจที่แตกต่างกันในการทำลงมือสิ่งต่างๆที่พวกเธอทำ เราเอาใจใส่เป็นพิเศษในการให้เรื่องราวส่วนตัวของพวกเธอมีความซับซ้อน ซึ่งคุณไม่ได้เห็นทั่วไปในหนังสายลับระทึกขวัญ การสำรวจถึงหลายๆ วิธีที่ผู้หญิงเรารู้ว่าจะหายตัวไปจากโลกนี้อย่างไรก็เป็นเรื่องที่สนุกเช่นกัน พลังมากมายเกิดจากการรู้วิธีที่ทำให้ไม่เป็นที่มองเห็น ซึ่งผู้หญิงเหล่านี้รู้ทั้งวิธีทำตัวให้ถูกมองเห็นและวิธีที่จะทำให้ไม่ถูกมองเห็นด้วยเช่นกัน”

วิสัยทัศน์ของผู้สร้างคือความสมจริง มาพร้อมเนื้อหาหนักแน่น

ตัวละคร ความสมจริง และความถูกต้อง เป็นกุญแจสำคัญสำหรับวิสัยทัศน์ของผู้สร้างภาพยนตร์  “หนังประเภทโปรดของผมเป็นหนังที่มีเนื้อหาหนักแน่นจริงๆ ผมต้องการเข้าถึงภาพยนตร์เรื่องนี้จากมุมมองของตัวละคร จากมุมมองความเป็นแอ๊คชั่น จากมุมมองของเรื่องราวอย่างสมจริงที่สุด ทุกช่วงเวลาทางอารมณ์ควรสมจริง ทุกช่วงเวลาของอารมณ์ขันควรมาจากตัวละครเอง และทุกการกระทำควรให้ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนในความจริง ผมอยากให้มันให้ความรู้สึกเท่ เฉียบ และเจ๋ง!” คินเบิร์ก กล่าว 

สุนทรียศาสตร์ที่แม่นยำนี้เห็นได้ตั้งแต่นาทีแรกของ “The 355” ที่ทำให้ผู้ชมเข้าสู่เนื้อเรื่องด้วยลำดับภาพการไล่ล่าที่น่าตื่นเต้นผ่านถนนที่คดเคี้ยวและทางเดินใต้ดินของกรุงปารีส เริ่มจากคู่รักหนุ่มสาวที่มาฮันนีมูนในเมืองแห่งแสง สู่โลกภายนอก “เมซ” (เจสสิก้า แชสเทน) และ “นิค” (เซบาสเตียน สแตน) ดูรักกันมาก แต่ที่จริงทั้งคู่เป็นสายลับของซีไอเอที่ทำงานร่วมกันในภารกิจสำคัญ พวกเขาได้รับคำสั่งให้นัดพบกับสายข่าวชื่อ “หลุยส์” (เอดการ์ รามิเรซ) ที่ร้านกาแฟในท้องถิ่น และรับกระเป๋าเป้บรรจุกุญแจข้อมูลสำคัญที่ทรงพลังพอที่จะปลดล็อกระบบปิดทุกระบบในโลก

แต่ภารกิจกลับผิดพลาดเมื่อสายลับชาวเยอรมันมากด้วยฝีมือนาม “มารี” (ไดแอน ครูเกอร์) ตัดสินใจเข้าจัดการกับทรัพย์สินมีค่าดังกล่าวโดยไม่คาดคิด และ “หลุยส์” ที่ตื่นตระหนกก็หลบหนีไปจากที่เกิดเหตุโดยมี “นิค” ไล่ตาม “เมซ” ไล่ตาม “มารี” เธอพยายามอย่างถึงขีดจำกัดโดยกระโจนข้ามโต๊ะในร้านอาหารพุ่งผ่านฝูงชนที่มองดูเพื่อแย่งคืนของนั้นมาขณะที่ “มารี” เร่งความเร็วรถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกขโมยมาผ่านถนนคนเดินที่แออัด ในที่สุดเธอก็นำ “เมซ” ลงไปในอุโมงค์รถไฟใต้ดินที่ทั้งสองต้องหลบหลีกรถไฟความเร็วสูงขณะต่อสู้กัน

“หญิงสาวมือฉมังทั้งสองขี่มอเตอร์ไซค์ไลล่ากันไปตามถนนเฉี่ยวชนผู้คนให้พ้นทาง ซึ่งจริงๆ แล้วนี่เป็นการสร้างภาพยนตร์แอ๊คชั่นขนาดใหญ่ที่มีความเข้มข้นสูง” ผู้อำนวยการสร้าง เคลลี่ คาร์ไมเคิล กล่าว

เมื่อกุญแจข้อมูลสำคัญหลุดไปจากมือทั้ง “เมซ” และ “มารี” ทำให้ “เมซ” ถูกบีบออกนอกเส้นทางเพื่อพยายามค้นหามัน แม้ว่าเธอจะเก่งกาจแค่ไหนก็ตาม “เมซ” ตระหนักดีว่าเธอต้องการทีมที่มีทักษะหลากหลาย จึงจะประสบความสำเร็จในภารกิจนี้ และในที่สุดเธอก็เข้าร่วมกองกำลังกับ “คาดิจาห์ อโดโย” (ลูปิต้า ยองโก้) พันธมิตร MI 6 เก่า, “ดอกเตอร์ กราเซียล่า ริเวร่า” (เพเนโลเป้ ครูซ) นักบำบัดจากหน่วยข่าวกรองโคลอมเบีย และ “มารี” ขณะถูกแอบดูโดย “หลินหมี่เชิง” (ฟ่านปิงปิง) หญิงสาวปริศนา

“จริง ๆ แล้วนี่เป็นเรื่องราวของตัวละคร 5 ตัวที่มารวมกันเพื่อสร้างเรื่องราวสุดยอดทางด้านสายลับ โดยหน่วยปฏิบัติการจากทั่วโลกที่มารวมตัวกันเพื่อไล่ตามวัตถุชิ้นเดียวกัน” คินเบิร์ก เผยพร้อมเปิดใจถึงการร่วมมือกับ แชสเทน และ คาร์ไมเคิล ในการสร้างทีมที่ยอดเยี่ยมว่า  “เจสสิก้าเป็นแรงผลักดันและเป็นหุ้นส่วนที่สร้างสรรค์ของผม ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอมีความคิดสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยม ทั้งในฐานะนักแสดงและในฐานะนักเล่าเรื่อง และมีแรงผลักดันเยอะพอๆ กับตัวละครที่เธอเล่น เช่นเดียวกับตัวละครของเธอ เธอมองไม่เห็นซึ่งขอบเขตใดๆ เธอแข็งแกร่ง มีแรงผลักดัน มีสมาธิและแน่วแน่ และในฐานะผู้กำกับ นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ เธอทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนเป็นพันธมิตรในกระบวนการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอเข้าใจดีว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่สำคัญในขณะที่ก็เป็นหนังที่สนุก ระทึก มันส์ เซอร์ไพร้ส์ ที่บางครั้งก็ตลกแต่บางครั้งก็น่าสลด นี่เป็นสิ่งที่ได้เมื่อเรื่องราวดำเนินโดยผู้หญิงห้าคนแทนที่จะเป็นผู้ชายห้าคนครับ”

ทำความรู้จักตัวละคร

 “เมสัน “เมซ” บราวน์”  (รับททโดย เจสสิก้า แชสเทน) “เมซ”  อารมณ์ร้อน และมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรง เธอเป็นทหารผ่านศึกและเจ้าหน้าที่ซีไอเอผู้มีประสบการณ์อันไม่หยุดยั้งเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์และภารกิจทุกประการ  เธอยังฉลาดอย่างร้ายกาจพร้อมอารมณ์ขันที่เฉียบแหลมและรวดเร็ว “บางครั้งอารมณ์ของเธอทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่เธอไม่ควรกระทำ เธอกระโจนก่อนที่เธอจะคิด และเธอก็ช่างประชดประชัน ซึ่งฉันไม่เคยได้แสดงออกในภาพยนตร์เลย” แชสเทน กล่าว

หลังจากมีประสบการณ์จริงมามากมาย เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกลับถูกเขี่ยทิ้งเมื่อดูเหมือนว่าเธอจะพบกับคู่ปรับของเธอในตัวละคร “มารี” ที่แสดงโดย ไดแอน ครูเกอร์ โดย “มารี”  เป็นหญิงคนแรกที่ “เมซ” พบว่ามีทั้งความกล้าหาญทางกายและการคิดเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นคู่แข่งกับตัวเธอเอง แต่หลังจากการเผชิญหน้ากันในปารีส  “เมซ” เริ่มรู้สึกว่า “มารี” เป็นพี่น้องทางจิตใจของเธอ และหากมีสิ่งอื่นที่เธออาจได้ประโยชน์ในขณะออกติดตามไล่ล่ากุญแจข้อมูลออกนอกทางการ นั่นก็คือการได้เพื่อนเพิ่มอีกสองสามคน

ในฉากทั้ง เจสสิก้า และ ไดแอน สนุกสนานกับซีเควนซ์แอ๊คชั่นที่รวดเร็วและเฝ้าดูสายสัมพันธ์อันบอบบางที่พัฒนาขึ้นระหว่างการประมือกันของสายลับสาวทั้งสอง พวกเธอเปลี่ยนจากต่อสู้กันเองไปสู่การทำลายล้างซึ่งเป้าหมายเดียวกัน

ไดแอน กล่าวว่า “เจสสิก้าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ดีที่สุดในรุ่น เธอนำความรอบคอบมาสู่ทุกบทบาทที่เธอแสดง และบท ‘เมซ’ ก็ไม่ต่างกัน  เธอนำความมิติและความอ่อนไหวมาสู่ตัวละครของเธออย่างน่าทึ่ง เธอแข็งแกร่งราวกับตะปู แต่ก็อ่อนโยนและเปราะบางค่ะ”

เจสสิก้า มีประวัติอันยาวนานในการรังสรรค์บทหญิงสาวที่เต็มไปด้วยมิติอย่างลึกล้ำบนหน้าจอ เธอยังแสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความสามารถในการกลมกลืนไปกับตัวละครที่หลากหลาย ตั้งแต่บท “ซีเลีย แร ฟุต” สาวชาวใต้ทรวดทรงเย้ายวนในหนังย้อนยุคเรื่อง “The Help” ไปจนถึงบท “มายา” นักวิเคราะห์คำนวณของซีไอเอผู้มีบทบาทสำคัญในการตามล่า “โอซามา บิน ลาเดน” ในภาพยนตร์การเมืองสุดระทึกเรื่อง “Zero Dark Thirty” ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์จากการแสดงในทั้งสองเรื่อง

ขณะที่ เจสสิก้า เตรียมถ่ายทำเรื่อง “The 355” เธอกลับมาฝึกเต้นเป็นเวลาหลายปี เพื่อฝึกฝนความสง่างามและความคล่องแคล่วเพื่อบทของ “เมซ” ซึ่งเธอได้เปิดใจว่า “ตอนที่ฉันยังเด็กฉันเป็นนักบัลเลต์ ฉันจึงรักการเต้นมาก เมื่อฉันเริ่มทำงานในภาพยนตร์ ฉันตระหนักว่าท่าเต้นทางกายภาพที่จำเป็นต้องมี ในบางแง่มุม มันก็เหมือนกับการเต้นรำเพราะมีจังหวะและการนับ หากคุณไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่ คุณอาจทำให้คู่ของคุณบาดเจ็บ”

“ดร. กราเซียล่า ริเวร่า” (รับบทโดย เพเนโลเป ครูซ)  สติปัญญาที่เฉียบแหลมและความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง “ดร.กราเซียลา ริเวรา” ไม่ได้ตั้งใจมองหาการผจญภัยเดิมพันสูง เธอไม่มีใจรักในอันตรายหรือชอบที่จะตกอยู่ในอันตราย เธอมีความสุขกว่ามากเมื่อได้รักษาและช่วยเหลือผู้ป่วยของเธอ เช่นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองโคลอมเบียผู้ได้รับบาดเจ็บ เมื่อสิ้นสุดวันเธอก็ออกจากสำนักงานเพื่อกลับบ้านไปหา “ฮวน” สามีของเธอและลูกชายสองคนของพวกเขา

แต่หลังจากที่ “เกรซี่” (ชื่อเล่นของเธอ) ถูกส่งลงสนามเพื่อนำตัว “หลุยส์” กลับมายังโคลอมเบีย เธอพบว่าตัวเองถูกดึงเข้าสู่ภารกิจเพื่อค้นหากุญแจข้อมูล โดยเธอทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ “เมซ”, “คาดิจาห์” และ “มารี” โดย คินเบิร์ก เผยว่า “กราเซียลา เป็นหูเป็นตาในหนังเรื่องนี้เพราะเธอเป็นคนธรรมดาที่มีครอบครัวอยู่ที่บ้านแต่ถูกพรากมาจากชีวิตปกติและถูกดึงให้เข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ ในที่สุดแทนที่จะเป็นคนคอยวิ่งไล่ตาม เธอกลับเท่าเทียมกับตัวละครอื่นๆ”  สัญชาตญาณการดูแลผู้อื่นของเธอช่วยรับมือกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในกลุ่ม  “กราเซียล่ามีความเห็นอกเห็นใจและอบอุ่น และเธอรู้สึกว่าสามารถอ่านคนอื่นได้ เธอสามารถนำผู้หญิงกลุ่มนี้มารวมกันเพื่อสร้างให้เป็นครอบครัวได้” เจสสิก้า อธิบายเพิ่มเติม 

บทบาทนี้มีต้นกำเนิดมาจากตัว เพเนโลเป้ ครูซ เองซึ่ง ครูซ เปิดใจว่า “เมื่อเจสสิก้า แชสเทนโทรฯ หาฉันเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอถามฉันว่าอยากเล่นเป็นตัวละครแบบไหนในโลกของสายลับ ฉันบอกว่าฉันอยากเล่นเป็นปลาที่อยู่นอกน้ำค่ะ  ซึ่งฉันไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังแนวนี้ บทของคนธรรมดาที่ถูกบังคับให้มาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา”

แม้ว่าเธอไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับอาวุธหรือการต่อสู้ แต่กระนั้น “เกรซี่” ก็กลายเป็นสมาชิกที่ขาดไม่ได้ของทีมนักรบหญิงชั้นยอดของ “The 355” ความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาและพฤติกรรมของมนุษย์ของเธอช่วยให้เพื่อนๆ ได้เปรียบในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ครูซ เล่าว่า “ฉันชอบที่จะสำรวจแนวคิดที่ว่าคนธรรมดาๆ กลับต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมและประพฤติตัวเหมือนสายลับคนอื่นๆ ในกลุ่มนี้  มันนำอารมณ์ขันมาสู่หนัง ซึ่งฉันคิดว่าสำคัญในภาพยนตร์แนวนี้ ในขณะเดียวกัน หนังก็มีด้านที่จริงจังเพราะเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการทำงานของเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด”

“หลิน หมี่ เชิง” (รับบทโดย ฟ่านปิงปิง) สำหรับ หลินหมี่เชิง หญิงสาวปริศนาทักษะสูง เธอติดตามทุกการเคลื่อนไหวของทีม แม้ว่าพวกเขาจะไม่ตระหนักถึงเธอในตอนแรก แรงจูงใจของเธอลึกลับจนเป็นไปไม่ได้ที่จะประเมินว่าเธอเป็นมิตรหรือศัตรูอันตราย “สาว ๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับหลินหมี่เชิงดี และไม่รู้ว่าจะไว้ใจเธอได้มั้ย” เจสสิก้า เผย

บทบาทดังกล่าวตกเป็นของซูเปอร์สตาร์ชาวจีน ฟ่านปิงปิง ซึ่งเคยรับบท “บลิงค์” มนุษย์กลายพันธุ์ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์  “X-Men: Days of Future Past”  ที่อำนวยการสร้างและเขียนบทโดย ไซม่อน คินเบิร์ก ฟ่านปิงปิง เปิดใจว่า “ในภาพยนตร์สายลับส่วนใหญ่ สายลับหญิงมักจะเป็นเพียงเพื่อนสาวหรือเป็นเหมือนเครื่องประดับสำหรับผู้ชาย เช่น สาวบอนด์ และไม่มีบุคลิกของตัวเองมากนัก แต่ใน ‘355’ นั้นต่างออกไปเพราะศูนย์กลางของเรื่องคือกลุ่มสายลับหญิงซึ่ง รวมถึง ‘หมี่เชิง’ ที่ทุกคนล้วนเป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเอง ตัวละคร ‘หมี่เชิง’ นั้นมีเอกลักษณ์อย่างมากและเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจฉันต่อภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆ ค่ะ”

ฟ่านปิงปิง ดีใจที่ได้ร่วมทีมกับ คินเบิร์ก อีกครั้งและเข้าร่วมกลุ่มในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอชื่นชอบโอกาสที่จะได้เล่นเป็นตัวละครที่มีความสามารถหลากหลาย ซึ่ง ฟ่านปิงปิง เผยถึงเรื่องนี้ว่า “ในความเห็นของฉัน หมี่เชิงเป็นผู้หญิงชาวตะวันออกสุดลึกลับ เธอสุขุมและคุมเกมได้ แต่ก็เป็นนักสู้ที่เยี่ยมยอด และเธอยังรู้จักการแพทย์แผนจีนด้วย ที่สำคัญที่สุด เช่นเดียวกับผู้นำหญิงคนอื่นๆ เธอมุ่งมั่นเพื่อสันติภาพของโลกและเต็มใจเสียสละตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายค่ะ”

สำหรับการกระทำทั้งหมดในภาพยนตร์ล้วนเป็นความซับซ้อนของการถ่ายทอดบทสายลับที่บางครั้งพิสูจน์แล้วว่าท้าทายที่สุด  “ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ‘หมี่เชิง’ มีแว่นพิเศษที่เธอใช้ถ่ายทอดข้อมูลลับ ซึ่งฉันต้องใช้ต้องใช้การแสดงออกทางสีหน้าอย่างมากในระหว่างการแสดง ดังนั้นท่ามกลางฉากแอ๊คชั่นเข้มข้นมากมาย แต่ในบางครั้งทุกการเคลื่อนไหวของใบหน้าเพียงเล็กน้อยก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง  แน่นอนว่าสายลับไม่สามารถแสดงออกหรือแสดงอารมณ์ออกมามากเกินไป ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องเข้มข้นแต่ก็ละเอียดอ่อนมากด้วยค่ะ ซึ่งเป็นอะไรที่ท้าทายมาก!” ฟ่านปิงปิง กล่าว

สายลับคนอื่นก็ล้วนมีเหตุผลที่ดีต่อประทับใจในตัวเธอ  โดย เจสสิก้า บอกว่า “สำหรับ ‘หลินหมี่เชิง’ มีทักษะคอมพิวเตอร์และทักษะการแฮ็กที่น่าทึ่ง  และเธอก็เป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่เหลือเชื่อ โดยเธอมีความสามารถด้านกีฬาที่แข็งแกร่งมาก เมื่อ ‘เมซ’ และสาว ๆ พบเธอ พวกเธอก็รู้ว่าพวกเธอแต่ละคนอยู่คนละแนวกันในทุกๆ ด้าน”

มารี” (รับบทโดย ไดแอน ครูเกอร์)  แม้จะไร้ซึ่งความกลัวเช่นเดียวกับ “เมซ” และอันตรายยิ่งกว่า มารี”  เป็นหน่วยปฏิบัติการขอ งBundesnachrichtendienst หน่วยงานซีไอเอเยอรมันมาอย่างยาวนาน  เธอเป็นหมาป่าสาวผู้โดดเดี่ยวอย่างแท้จริงในทุกด้าน เธอไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้น  ซึ่ง คินเบิร์ก ให้เหตุผลของบทนี้ว่า “สำหรับ ‘มารี’ ถูกพ่อซึ่งเป็นสายลับหักหลังตั้งแต่อายุยังน้อย ตลอดช่วงของภาพยนตร์เรื่องนี้ ‘มารี’ จะได้เรียนรู้เรื่องการไว้ใจอีกครั้งกับคนแปลกหน้าต่างชาติจากหน่วยงานที่แข่งขันกันเหล่านี้ และกลายเป็นส่วนสำคัญของทีม  เธอหุนหันพลันแล่น บางครั้งก็ประมาทและรุนแรง แต่เธอก็ได้รับบาดเจ็บด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวละครทั้งหมดมีร่วมกัน นั่นคือความรู้สึกเฉกเช่นมนุษย์ทุกคนที่ล้วนแตกสลายอยู่ภายในไม่มากก็น้อย ทุกคนจึงมารวมตัวกันกลายเป็นครอบครัวที่มีใจเดียวกัน”

เธอเป็นหนึ่งในทหารเกณฑ์อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของหน่วย BND เธอจึงเคารพ “มุลเลอร์” ผู้ดูแลเธอมายาวนาน แต่ในทุกภารกิจ เธออยากลุยเดี่ยวมากกว่าโดยมีคลังแสงอาวุธคู่ใจครบมือ

นักแสดงสาว ไดแอน ครูเกอร์  เกิดในเยอรมนี และเธอเป็นที่รู้จักกันดีจากการแสดงในภาพยนตร์ เช่น “Inglourious Basterds” มหากาพย์ภาพยนตร์ดัดแปลงเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ เควนติน ทารันติโน และภาพยนตร์ภาษาเยอรมัน “In the Fade” ที่สะเทือนอารมณ์เป็นอย่างมาก และเธอก็เผยว่า “มารีเป็นคนเจ้าระเบียบและมีประสิทธิภาพมาก ชีวิตของเธอไม่มีอะไรอื่นนอกจากงานค่ะ”

ด้วยแง่มุมนี้ “มารี” และ “เมซ” จึงเหมือนถูกตัดออกมาจากผ้าผืนเดียวกัน “พวกเขาเป็นคนประเภทผู้นำจ๋ามากทั้งคู่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่เริ่มแรกเพราะพวกเขาคล้ายกันเกินไป ในภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขาได้รับความเคารพซึ่งกันและกัน และนั่นคือความสัมพันธ์แบบแมวและหนูที่จบลงสวยงาม” ครูเกอร์ กล่าว 

เมื่อโอกาสที่จะได้แสดงใน “The 355” มาถึง ไดแอน เพิ่งเริ่มมองหาบทบาทใหม่หลังจากการลาคลอด และมันก็จุดประกายให้เกิดความคิดที่จะมีส่วนร่วมในภาพยนตร์สายลับหญิงล้วนในทันที ซึ่งเธอเปิดใจว่า “ฉันคิดว่ามันจะเป็นความท้าทายทางกายภาพที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉันโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเพิ่งคลอดลูก และฉันไม่เคยแสดงเป็นตัวละครที่เนียนและเท่และเก่งในสิ่งที่เธอทำ ฉันชอบหนังประเภทสายลับและนี่เป็นภาพยนตร์แนวสายลับที่เยี่ยมมากสำหรับผู้หญิงทุกคนในภาพยนตร์สายลับคลาสสิกแนว  ‘มิชชั่น : อิมพอสซิเบิ้ล’ คือเป็นภาพยนตร์สนุกๆ ที่ปกติแล้วคุณจะได้เห็นแต่ผู้ชายเท่านั้น”

ไดแอน ทุ่มเทเวลาอย่างมากในการเรียนรู้ท่าทางในฉากต่อสู้ก่อนเริ่มถ่ายทำและเข้ารับการฝึกอาวุธด้วย ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่นักแสดงสาวเปรียบได้กับการฝึกปฏิบัติจริง  “มีความรู้สึกถึงพลังในการเคลื่อนไหวร่างกายในฉาก คุณรู้สึกว่าคุณสามารถต่อสู้กับใครก็ตามที่เข้ามาหาคุณค่ะ” ไดแอน กล่าว

“คาดิจาห์ อโดโย” (รับบททโดย ลูปิต้า ยองโก้)  แฮ็กเกอร์สาวความสามารถสูงและมีจิตใจที่เฉียบแหลมอย่าง “คาดิจาห์” มีประสบการณ์ในฐานะเจ้าหน้าที่ MI 6 ดังนั้นเธอจึงมีความเชี่ยวชาญในโลกของการจารกรรม แต่เธอได้ทิ้งงานภาคสนามไว้เบื้องหลังเพื่อที่จะเป็นผู้ลงมือทางด้านเทคโนโลยี

เมื่อ “เมซ” อธิบายให้ “คาดิจาห์” ฟังถึงพลังของกุญแจข้อมูลที่หายไปและศักยภาพของมันที่จะก่อให้เกิดหายนะในวงกว้าง สายลับผู้วางมือแล้วก็ได้ตระหนักว่าเธอต้องร่วมมือกับเพื่อนเก่าเพื่อปกป้องโลก ดังนั้นเธอจึงกล่าว “อับดุลลา” สามีของเธอและมุ่งหน้าสู่งานภาคสนาม

ลูปิต้า เปิดใจว่า “อาวุธดิจิทัลที่ ‘เมซ’ บอกต่อเธอคือสิ่งที่เธอพยายามหาทางป้องกัน สำหรับตัวเธอเองแล้ว เมื่อพิจารณาจากทักษะที่เธอมี เธอจึงเป็นสมาชิกของทีมที่กระตือรือร้นอย่างยิ่งในการชิงเอามันคืนมา”

ผู้ชนะรางวัลออสการ์จากบทบาทของเธอในภาพยนตร์เรื่อง “12 Years a Slave” ปี 2013 แน่นอนว่า ลูปิต้า เคยเล่นเป็นสายลับมาก่อน เธอเป็นสายลับนักสู้ที่กล้าหาญและเป็นอิสระอย่างบท “นาเกีย” ในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ “Black Panther” แต่ “คาดิจาห์” เป็นสายลับที่แตกต่างมากโดยมีทักษะด้านเทคโนโลยีที่เหนือกว่าซึ่งตรงข้ามกับตัวจริงของเธอ นักแสดงสาวกล่าวว่านั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เธอสนใจบทนี้ ลูปิต้า หัวเราะพร้อมบอกว่า“การแสดงเป็นผู้หญิงที่มีความคิดทางวิทยาศาสตร์อย่างคาดิจาห์นั้นต่างกับฉันโดยสิ้นเชิง ฉันไม่มีหัวทางวิทยาศาสตร์เลย ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นยังไงและเกิดอะไรขึ้นในคอมพิวเตอร์ ‘คาดิจาห์’ เป็นคนที่ปรับตัวได้ เธอตรงไปตรงมา เธอฉลาด เธอช่างสังเกต”    

นอกจากนี้ เธอยังรู้สึกทึ่งกับหลักการณ์ของภาพยนตร์และโอกาสที่จะได้แสดงร่วมกับเพื่อนร่วมงานมากพรสวรรค์คนอื่น ๆ อีกมากมาย  “ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับแนวคิดที่ผู้หญิงมีความโดดเด่นในหนังประเภทสายลับระทึกขวัญแนวแอ๊คชั่นผจญภัยและแนวคิดเรื่องทีมหญิงล้วนที่มาจากทั่วโลก นักแสดงที่เรามีในภาพยนตร์เรื่องนี้ประกอบด้วยนักแสดงหญิงที่ฉันเห็นผลงานมายาวนาน การได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพวกเธอเป็นประสบการณ์ที่ฉันจะไม่มีวันลืม”  ลูปิต้า กล่าวเสริม

“หลุยส์” (รับบทโดย เอ็ดการ์ รามิเรซ)  เจ้าหน้าที่ของสารบบข่าวกรองแห่งชาติโคลอมเบียผู้พร้อมที่จะทิ้งเกมสายลับไว้เบื้องหลัง “หลุยส์” ได้วางแผนเพื่อให้ได้เงินสดเพียงพอสำหรับอนาคตของครอบครัวด้วยการขายกุญแจข้อมูลที่มีประสิทธิภาพให้กับผู้เสนอราคาสูงสุด แม้เขาจะดูเหมือนเป็นทหารรับจ้างไร้จิตใจ แต่ “หลุยส์” กลับรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาอย่างมาก  “หลุยส์มีมโนธรรม แต่เขาทำงานที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะตายวันไหน แล้วเขาก็เห็นโอกาสที่จะออกไปจากชีวิตเช่นนี้”  ไซมอน คินเบิร์ก กล่าว 

หน่วยงานแห่งชาติโคลอมเบียที่หวังจะยับยั้ง “หลุยส์” จากการกระทำอันทรยศนี้และเพื่อรับมือกับอุปกรณ์ชิ้นสำคัญดังกล่าวได้ส่ง “กราเซียล่า” ไปที่ปารีสเพื่อพยายามพาตัวเจ้าหน้าที่ผู้ออกนอกลู่นอกทางกลับบ้าน “หลุยส์” เชื่อใจเธอโดยสิ้นเชิง และหลังจากการเจรจาเป็นเวลาหลายชั่วโมงเต็ม เธอก็ฝ่ากำแพงจิตใจของเขาและเกลี้ยกล่อมให้เขาทำในสิ่งที่ถูกต้องแม้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับโทษจำคุกก็ตาม แต่การตัดสินใจนี้ทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในอันตราย “หลุยส์” กลายเป็นเป้าหมายและ “เกรซี่” ก็เข้ามาพัวพันในภารกิจอันตรายโดยที่ชะตากรรมของโลกแขวนอยู่บนเส้นด้าย

เอดการ์ รามิเรซ นักแสดงชาวเวเนซุเอลา เปิดใจถึงบทนี้ว่า “ผมชอบที่มันเป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่น ที่มีตัวละครมากมายและซับซ้อน ตัวละครเหล่านี้ล้วนมีภูมิหลังที่แตกต่างกันและล้วนมีเรื่องราวปัญหาส่วนตัว ซึ่งเราจะไม่หลบลี้จากสิ่งนี้ คนทุกคนล้วนมีปมและมีสิ่งที่ต้องแก้ไขครับ”

รามิเรซ ยังซาบซึ้งกับมุมกล้องบอกเล่าเรื่องราวที่มีความเป็นสากลซึ่งมักขาดหายไปจากภาพยนตร์ฮอลลีวูด ซึ่งเขาได้บอกอีกว่า “ในฐานะเจ้าหน้าที่สายลับ พวกเรามาจากทั่วทุกมุมโลก และในฐานะนักแสดงพวกเราก็มาจากทั่วทุกมุมโลกเช่นกัน ผมชอบความหลากหลายของภาพยนตร์  เราเปลี่ยนจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งได้อย่างราบรื่นน่าตื่นเต้นมากเพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้สัมผัสกับโลกที่แตกต่างเพื่อเริ่มต้นการเดินทางอย่างแท้จริงครับ”

“นิค” (รับบทโดย เซบาสเตียน สแตน) สำหรับ เซบาสเตียน สแตน รู้เส้นทางของเขาในภาพยนตร์แอ๊คชั่นเป็นอย่างดี กับบทบาท “บัคกี้ บาร์นส์” ในภาพยนตร์ “Captain America”  และซีรีส์ “The Falcon and the Winter Soldier” จาก “มาร์เวล สตูดิโอส์” ซึ่ง เซบาสเตียน รับบทนี้อยู่หลายปี เขาจึงเชี่ยวชาญในฉากต่อสู้และการแสดงผาดโผนที่ซับซ้อน แต่นักแสดงหนุ่มกล่าวว่าความคิดที่จะเล่นเป็นคู่หูในภารกิจของ “เมซ” ใน “The 355” นั้นดึงดูดใจเขาเป็นพิเศษ เพราะหลักการของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกถึงความเป็นภาพยนตร์สายลับที่มีความสดใหม่และไม่เหมือนใครเป็นต้นฉบับมาแสดง และเขาก็ตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับกลุ่มดาราสาวชื่อดัง

เปิดใจว่า “ผมมีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในการทำงานกับเจสสิก้าในเรื่อง ‘The Martian’ หลังจากนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันและเธอก็ออกไปทำเกี่ยวกับสคริปต์ของ ‘The 355’ และมาถามผมว่าจะพิจารณาเล่นบทนิคมั้ย ผมรู้สึกทึ่งกับข้อเสนอนั้นจนผมตอบตกลงทันทีที่มีโอกาสร่วมงานกับเธออีกครั้ง และเมื่อผมเห็นทุกคนที่เกี่ยวข้องผมก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก สคริปต์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ยอดเยี่ยมมาก  มันสนุกสนาน คาดเดาไม่ได้ แปลกใหม่ และมีฉากแอ๊คชั่น การพัฒนาตัวละคร และพล็อตเรื่องที่ยอดเยี่ยม”

ในช่วงเริ่มต้นของเรื่อง “นิค” และ “เมซ” เป็นเพื่อนสายลับและเพื่อนสนิทที่พัฒนาความสัมพันธ์จนกลายมาเป็นความโรแมนติกเมื่อพวกเขาได้รับมอบหมายภารกิจในปารีส  “เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาได้รับมอบหมายงานนี้ก็เพราะพวกเขามีเคมีที่ยอดเยี่ยม พวกเขาสามารถหลอกคนอื่นได้เพราะความดื่มดำที่พวกเขามีต่อกัน” เซบาสเตียน เผย

แต่พวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้สำรวจความเป็นไปได้ทางความรักของพวกเขาเลย  เมื่อพวกเขามาถึงร้านกาแฟในปารีสที่พวกเขานัดพบกับสายชาวโคลอมเบียที่ชื่อ “หลุยส์” เพื่อรับกุญแจข้อมูล ช่วงเวลาพิเศษที่พวกเขามีด้วยกันก็หายวับไป  “มารี” ขโมยกระเป๋าเป้บรรจุกุญแจไป “เมซ” ไล่ตามเธอ และ “นิค” ไล่ตาม “หลุยส์”  สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แตกแขนงออกไปอย่างไม่คาดคิดสำหรับทั้งสามคน แต่แนวทางการเล่าเรื่องของนิคอาจเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่สุด  “นิคไม่ได้น่าเชื่อถืออย่างที่เขาดูจะเป็น แต่เขาก็รัก ‘เมซ’ อย่างแท้จริง  เช่นเดียวกับตัวละครอื่น ๆ ทุกตัวในภาพยนตร์ ‘นิค’ มีความแตกต่างและมีมิติในแบบของตน” ไซมอน คินเบิร์ก พูดถึงคาแรกเตอร์นี้

เช็กอินสถานที่ถ่ายทำใน “The 355”

ด้วยเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นที่เกิดขึ้นทั้งที่ ปารีส ลอนดอน เบอร์ลิน โมร็อกโก และ เซี่ยงไฮ้ ทำให้ “The 355” ถ่ายทำในบรรดาสถานที่และเมืองที่สวยงามที่สุดของโลก

ในฉากเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่ง “เมซ” และ “นิค” ต่างไล่ติดตามเป้าหมายของตนไปตามท้องถนนในกรุงปารีส ฝ่ายผลิตได้เดินทางไปยังเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส เยี่ยมชมย่าน Marais อันทันสมัย และตลาดร้านรวงที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Passage des Panoramas และ Passages des Grands Cerfs , สะพาน Pont Louis-Philippe ที่พาดผ่านแม่น้ำแซน สถานีรถไฟใต้ดินและอุโมงค์ต่างๆ ของเมือง

ไซมอน เอลเลียต ผู้ออกแบบงานสร้างกล่าวว่า แนวคิดคือการนำเสนอด้านของปารีสที่ไม่ค่อยได้เห็นผ่านมุมกล้องว่า “เราตั้งโจทย์ที่ท้าทายแก่ทีมสถานที่ในการพาเราไปยังสถานที่ที่ยากจะเข้าถึง ผมคิดว่ามันน่าจะตื่นเต้นดีสำหรับฉากไล่ล่ากันไปตาม Passage des Panoramas ซึ่งเป็นอาร์เคดที่เก่าแก่ที่สุดในปารีส และไม่เพียงแต่วิ่งไล่กวดกันเท่านั้น แต่ยังไล่ตามกันด้วยมอเตอร์ไซค์อีกต่างหาก”

การถ่ายทำ “The 355” เริ่มต้นด้วยฉากที่ออกแบบมาอย่างปราณีต โดยให้นักแสดงและทีมงานได้ดื่มด่ำอย่างเต็มที่ในโลกของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยแอ็กชันอันน่าทึ่ง (อดีตแชมป์โมโตครอส ร็อบ เฮอริ่ง ร่วมแสดงในฉากผาดโผนหลายฉากบนมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า) การถ่ายทำฉากต่าง ๆ เสร็จสมบูรณ์ในเวลาเพียงหกวัน ทำให้การผลิตก้าวต่อไปสู่ฉากที่ท้าทายยิ่งขึ้น

ไซมอน คินเบิร์ก  ยังเสริมอีกว่า “ซีเควนซ์แอ๊คชั่นขนาดมหึมาเป็นที่มาของภาพยนตร์ และมันให้คำมั่นถึงขนาดความยิ่งใหญ่ตามประเภทของภาพยนตร์ รวมถึงความละเอียดและแรงขับและพละกำลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย มันไม่ใช่การแสดงเพียงเพื่อการแสดง  แต่มันคือการแสดงออกที่มีพื้นฐานมาจากความสิ้นหวังและแรงขับดันของตัวละคร ที่เต็มใจทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำร้ายหรือเพื่อกอบกู้โลก”

การกระทำดังกล่าวต่างๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนภาคพื้นทวีปยุโรป แต่ “The 355” ได้เยี่ยมชมสถานที่ 22 แห่งทั่วสหราชอาณาจักร รวมถึง Freemason’s Hall และ Billingsgate Fish Market ของลอนดอน และท่าเรือทิลเบอรี่ ในเอสเซ็กซ์ โดยทั้ง 3 สถานที่เป็นฉากหลักสำหรับการไล่ล่าอันหนักหน่วงและการต่อสู้ที่ดุเดือด!

หลังจากที่กุญแจข้อมูลหลุดมือไปอย่างน่าผิดหวังอีกครั้ง “เมซ” ไล่ล่า “มารี” ผ่านตลาดปลาไปยังท่าเรือ ฉากต่าง ๆ จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เนื่องจากทั้งสองสถานที่เป็นสถานที่ที่มีการใช้งานจริงและมีการดำเนินธุรกิจทุกวัน

เคลลี่ คาร์ไมเคิล เล่าว่า “เราเข้ามายังสถานที่ตอนที่คนขายปลากำลังจะกลับออกไป   เราจะเข้าไปจัดแจงสถานที่และแขวนโปสเตอร์ของเราและทำให้มันกลายเป็นฉากที่เราต้องการ  จากนั้นทุกคืนเมื่อเราถ่ายทำเสร็จก็เคลียร์สถานที่เตรียมให้พวกเขากลับเข้ามาขายปลากันในวันรุ่งขึ้น”

ในทำนองเดียวกัน ฉากยิงกันที่ท่าเรือที่ใช้งานจริง อย่าง Tilbury Docks มีอุปสรรคเล็กน้อย การถ่ายทำสงวนพื้นที่ไว้ในบริเวณส่วนหนึ่งของท่าเรือทำให้ทีมผู้สร้างสามารถควบคุมเรือและพาหนะลำอื่นๆ ที่แล่นผ่านได้ แต่บริเวณโดยรอบที่เหลือทั้งหมดเต็มไปลูกเรือจริงๆ ที่กำลังทำงาน  “ส่วนหนึ่งของการเตรียมการคือรู้ว่าเรือจะเข้ามาเมื่อใด จะมีเรือสำราญขนาดใหญ่แล่นผ่านในฉากหลังในขณะถ่ายฉากยิงกันหรือไม่?  เราต้องวางแผนให้ดีว่าเราจะไปถึงที่นั่นเพื่อถ่ายทำเมื่อไหร่” คาร์ไมเคิล เผย

การรักษาความปลอดภัยของสถานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ดาราในภาพยนตร์ต้องแสดงในฉากบางฉาก  คาร์ไมเคิล  ปิดท้ายว่า “เมื่อเราไปถึงที่นั่น ทีนี้มันคือการแสดงผาดโผนฉากแล้วฉากเล่า เจสสิก้าต้องวิ่งข้ามส่วนที่แขวนยื่นออกไปยาว 30 ฟุตและเดินบนลวดแคบๆ ซึ่งเป็นอะไรที่เข้มข้นสุดๆ ครับ”

เก็บข้อมูลให้พร้อม แล้วออกไปบู๊เพื่อปกป้องโลกกับทั้ง 5 สายลับสาวกัน! ใน “The 355” เข้าฉายวันที่ 3 ก.พ. นี้ ในโรงภาพยนตร์