หลายๆ คนอาจจะเคยทราบกันมาบ้างอยู่แล้วว่า สังคมไทยนั้นกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งสิ่งที่หลายๆ คนมักจะต้องก้าวผ่าน หรือเคยได้ยินกันมาบ้างนั้นคือ “ภาวะวัยทอง” แต่เคยทราบกันบ้างหรือไม่ว่า.. มีสิ่งที่ “คนวัยทอง” ควร-ไม่ควรทำอยู่เหมือน..
โดย พญ.รัตนาภรณ์ ลีลาวิวัฒน์ สูตินรีแพทย์ชำนาญการด้านนรีเวช และรักษาอาการวัยทอง โรงพยาบาลสมิติเวช ได้เผยว่า สำหรับ “ภาวะวัยทอง” คือ ภาวะที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศได้น้อยลง ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมสภาพลง และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เช่น โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุอยู่ในช่วง 45-55 ปี แต่ผู้หญิงจะแสดงอาการชัดเจนกว่า
สตรีวัยหมดประจำเดือน (Menopause) หรือ สตรีวัยทอง คือ ผู้หญิงที่สิ้นสุดการมีประจำเดือนอย่างถาวร เนื่องมาจากการที่รังไข่หยุดการสร้างฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ส่งผลให้เกิดอาการวัยทองต่างๆ เช่น ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก อารมณ์แปรปรวน รบกวนการนอนหลับ พลังงานลดลง รวมถึงร่างกายเริ่มมีการเสื่อมถอยลง น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นจากการที่ร่างกายมีการเผาผลาญน้อยลง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
ซึ่งสตรีจะได้รับการวินิจฉัยว่าเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนก็ต่อเมื่อประจำเดือนไม่มาต่อเนื่องครบ 1 ปีไปแล้ว ทั้งนี้ วัยหมดประจำเดือนสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 45-55 ปี โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 51 ปี นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้หญิงที่ได้รับการผ่าตัดรังไข่ทั้ง 2 ข้างออกก่อนที่จะถึงวัยหมดประเดือน
วัยหมดประจำเดือน แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- วัยใกล้หมดประจำเดือน (Perimenopause) เป็นระยะเวลาที่รังไข่เริ่มทำงานไม่ปกติ จนหยุดทำหน้าที่ไปในที่สุด ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอจนสิ้นสุดการมีประจำเดือนอย่างถาวร ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี บางกรณีอาจมีอาการทางร่างกายต่างๆ เช่น ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก คลื่นไส้ และอารมณ์แปรปรวน
- วัยหมดประจำเดือน (Menopause)นับจากการมีประจำเดือนครั้งสุดท้ายต่อเนื่องไปเป็นเวลา 1 ปี
- วัยหลังหมดประจำเดือน (Postmenopause) หลังจากวัยหมดประจำเดือนมาแล้ว 1 ปี ซึ่งเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงของสรีระและเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้
อาการวัยทองของสตรี
อาการของสตรีวัยทองอาจเกิดขึ้นในช่วงหลายเดือน หรือหลายปีก่อนจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนอย่างถาวร นั่นคือ ช่วงวัยใกล้หมดประจำเดือน (perimenopause) ซึ่งอาการแสดงทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของประจำเดือนอาจแตกต่างกันไป
อาการวัยทอง แสดงระยะสั้น
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ หากมีอาการเลือดออกจากช่องคลอดหลังวัยหมดประจำเดือน ควรรีบไปพบแพทย์
- ช่องคลอดแห้ง
- ร้อนวูบวาบ
- เหงื่อออกตอนกลางคืน
- นอนไม่หลับ หรือมีปัญหาในการนอน
- อารมณ์แปรปรวน
- น้ำหนักเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเผาผลาญน้อยลง
- ผิวแห้ง ผมร่วง
อาการวัยทอง และความเสี่ยงในระยะยาว
- โรคกระดูกพรุน การที่ร่างกายขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนนั้นทำให้กระดูกเปราะบาง เนื่องจากมีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูก ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่กระดูกจะหักได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนนั้นช่วยลดไขมันไม่ดีในเลือดได้ (LDL) ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดูแลตนเองโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม ลดอาหารมันๆ งดของทอด เบเกอรี่ และรักษาน้ำหนักตัวให้เป็นปกติ รวมถึงขอคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับวิธีป้องกันโรคหัวใจ
- การเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทส่วนกลาง การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นลดลง การเคลื่อนไหวช้าลง ความทรงจำอาจเสื่อมถอยลง
- ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เนื่องจากเนื้อเยื่อของช่องคลอดและท่อปัสสาวะสูญเสียความยืดหยุ่น บางครั้งมีอาการปัสสาวะบ่อย รวมถึงการเพิ่มโอกาสติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะมากขึ้น
- ช่องคลอดแห้ง เกิดการอักเสบของช่องคลอด มีอาการแสบและเจ็บในช่องคลอด
- น้ำหนักเพิ่มขึ้น เนื่องจากระบบเผาผลาญทำงานน้อยลง
การรักษาภาวะวัยทอง
การรักษาภาวะวัยทองที่มีประสิทธิภาพนั้นมีหลายวิธี ตั้งแต่การปรับวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี การรักษาตามอาการ ตลอดไปจนถึงการบำบัดด้วยฮอร์โมน ดังนี้
- การใช้เจลหล่อลื่น ยาเม็ดสำหรับสอดช่องคลอด กรณีช่องคลอดแห้ง
- การใช้ยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดข้อ ปวดศีรษะ
- การใช้ยาลดอาการซึมเศร้าขนาดต่ำ โดยให้ใช้ภายใต้ดุลพินิจของแพทย์
- การให้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy – HRT) เป็นการรักษาเพื่อช่วยปรับสมดุลระดับฮอร์โมนของร่างกาย โดยให้ระดับยาไม่สูง ในระยะเวลาที่ไม่นานเกินไป ยาที่ให้ประกอบด้วย ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน โดยการให้ฮอร์โมนทดแทนมี 2 รูปแบบ ได้แก่
- การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน กับ โปรเจสเตอโรน สำหรับผู้ที่ยังมีมดลูกอยู่
- การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว สำหรับผู้ที่ไม่มีมดลูกแล้ว
ทั้งนี้ การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนนั้นมีอยู่หลายรูปแบบ ทั้งยาเม็ด หรือยาปรับฮอร์โมนวัยทอง แผ่นแปะผิวหนัง และเจลทาผิวหนังเฉพาะที่ ซึ่งสามารถช่วยลดอาการของวัยหมดประจำเดือนต่างๆ ได้ดี อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลพบว่าการใช้ฮอร์โมนบำบัดอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคบางอย่างได้ โดยเฉพาะผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ เช่น โรคลิ่มเลือดอุดตัน ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง โรคตับ และโรคมะเร็งเต้านม อีกทั้งยังต้องระวังเรื่องมะเร็งในเยื่อบุโพรงมดลูกด้วย ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ควรทำ คือ การที่ต้องปรึกษา ทำการรักษา และตรวจติดตามกับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น และทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ฮอร์โมนทดแทนที่อาจเกิดขึ้นได้
- ในกรณีกระดูกพรุน สามารถให้ยาที่รักษาโรคกระดูกพรุนโดยตรง ร่วมกับการรับประทานแคลเซียมและวิตามินดี
เคล็ดลับดูแลตัวเองของผู้ที่เข้าสู่วัยทอง
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ เนื้อปลา ผัก ผลไม้ และธัญพืช
- ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
- เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
- จำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ฝึกการผ่อนคลายอารมณ์ ลดความเครียด และฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ บ่อยๆ
- ในกรณีไม่สามารถผ่อนคลายความเครียดด้วยตนเองได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เรื่องความวิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน และ ปัญหาเพศสัมพันธ์ (ถ้ามี)
- สร้างนิสัยการนอนที่ดี และพักผ่อนให้เพียงพอ
- บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และกระชับช่องคลอด (Kegel Exercises)
- เข้าชมรม อาสาสมัคร หรือหางานอดิเรกใหม่ ๆ ทำ
- ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และคัดกรองเบื้องต้น ในระหว่างและหลังวัยหมดประจำเดือน เช่น ตรวจเลือด ตรวจความหนาแน่นของกระดูก ตรวจมะเร็งปากมดลูก ตรวจมะเร็งเต้านม เป็นต้น
แม้วัยทองจะเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของร่างกาย เป็นการก้าวผ่านจากวัยเจริญพันธ์เข้าสู่ช่วงสูงวัย จนส่งผลให้หลายคนกังวลใจ แต่การเอาใจใส่ดูแลสุขภาพให้เหมาะสมกับช่วงวัย รวมถึงหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงโรคแทรกซ้อนอันตรายต่างๆ การพบแพทย์เพื่อปรึกษาอาการวัยทองและรับการรักษาด้วยวิธีการที่เหมาะสม จะช่วยให้ผ่านช่วงวัยทอง ไปได้ด้วยสุขภาพที่แข็งแรงและปราศจากโรคภัย..
………………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”