มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า สมัยก่อนเมื่อพ่อค้าล่องเรือผ่านมาจะรู้ได้ว่าถึงบ้านสะแกกรังแล้ว โดยเฉพาะในเดือนยี่ถึงเดือนสามจะสังเกตได้ชัดเจน เพราะต้นสะแกจะออกดอกเล็ก ๆ ช่อยาวสีเขียวอมเหลืองห้อยลงมาริมน้ำ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำมีเรือนแพอยู่เรียงราย ฝั่งแม่น้ำด้านตะวันตกมีอาคารบ้านเรือนอยู่หนาแน่นและมีตลาดใหญ่ ที่นี่คือ ลำน้ำสะแกกรัง แม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านตัวจังหวัดอุทัยธานี ที่ที่ชาวแพยังคงอาศัยอยู่ในบ้านลอยน้ำเหมือนเมื่อครั้งอดีต

       เรือนแพที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำเป็นเรือนไม้สร้างคร่อมบนแพลูกบวบไม้ไผ่ ชาวแพบอกว่าอยู่แพแล้วสบาย หน้าร้อนลมเย็น หน้าหนาวตอนเช้าแดดอุ่น ส่วนตลาดใหญ่ที่ว่าวันนี้คือ “ตลาดสดเทศบาล” บรรยากาศค้าขายริมน้ำยังคงครึกครื้นในช่วงเช้าของทุกวัน โดยของที่ขายนั้นส่วนใหญ่ชาวบ้านจะปลูกเอง ทำเอง มีทั้งข้าวสาร ซึ่งวางขายอยู่ในกระบุง และอาหารคาวหวาน ส่วนฝั่งแม่น้ำด้านตะวันออกเป็นเกาะเทโพ มีสวนผลไม้ และป่าไผ่ตามธรรมชาติ

       ฝั่งตรงข้ามตลาดใหญ่คือ “วัดอุโปสถาราม” เดิมชื่อ “วัดโบสถ์มโนรมย์” ชาวบ้านมักเรียกว่า “วัดโบสถ์” จากตลาดสดเทศบาลมีสะพานข้ามแม่น้ำไปยังวัดซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ทุกเช้าบนสายน้ำสะแกกรังจะมีพระสงฆ์พายเรือมารับบาตรจากชาวแพ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวนั้น ท่าน้ำวัดโบสถ์แห่งนี้ถือเป็นทำเลเหมาะ เพราะนอกจากจะได้ตักบาตรยามเช้าเฉกเช่นเดียวกับชาวแพแล้ว หลังจากนั้นยังสามารถเดินชมความสวยงามของวัด ย้อนเวลากลับไปหาอดีตผ่านสิ่งของต่าง ๆ มากมายที่เก็บรักษาไว้ในวัดแห่งนี้

       ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์และวิหาร ซึ่งเป็นภาพเขียนสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เสมาหินสีแดงเก่าแก่หน้าโบสถ์ ตู้พระธรรมและตู้ใส่ของเขียนลายกนกเถาลายดอกไม้ บาตรฝาประดับมุกที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นฝีมือช่างสิบหมู่ มณฑปแปดเหลี่ยม ลักษณะผสมแบบตะวันตก มีลายปูนปั้นคล้ายไม้เลื้อยที่กรอบหน้าต่าง และมีพระพุทธรูปปูนสลักนูนสูงอยู่ด้านนอกอาคาร เจดีย์หกเหลี่ยม เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองทรงรัตนโกสินทร์ รวมถึงแพโบสถ์น้ำซึ่งตั้งอยู่หน้าวัด ที่สร้างขึ้นเพื่อรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือใน พ.ศ. 2449

       เสร็จแล้วไปล่องเรือชมวิถีชีวิตชาวแพแห่งแม่น้ำสะแกกรัง  ลิ้มลองปลาแรดแม่น้ำสะแกกรัง ชมการเลี้ยงปลาในกระชัง วิถีชีวิตชาวบ้านกับการจับปลาตามธรรมชาติ แนะนำว่าหากมาล่องเรือในช่วงเย็นเวลาประมาณ 16.00-18.00 น. จะได้ชมภาพและบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกด้วย ล่องเรือชมวิถีชาวแพสะแกกรังใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง สอบถาม ยงยุทธ โทร.09-4632-6661 ค่าบริการคนละ 50 บาท

       ขึ้นจากแม่น้ำมองไปทางยอดเขาสะแกกรังที่อยู่ไม่ไกล คือที่ตั้งของวัดคู่บ้านคู่เมือง “วัดสังกัสรัตนคีรี” วัดที่ชาวอุทัย ให้ความเคารพและศรัทธา พื้นที่วัดมีทั้งส่วนที่ตั้งอยู่บริเวณพื้นราบและส่วนที่อยู่บนยอดเขาสะแกกรัง สามารถจะเดินพิสูจน์แรงศรัทธาผ่านบันได 449 ขั้นขึ้นไปสู่ยอดเขา หรือสามารถนำรถขึ้นไปยังบริเวณวัดที่อยู่บนยอดเขาได้ด้วย

       หลายคนตั้งใจมาเพื่อสักการะพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอุทัยธานี หนึ่งในพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้นำพระพุทธรูปขนาดย่อมที่ชำรุดไปไว้ตามหัวเมืองต่าง ๆ โดยเป็นพระเนื้อสำริดปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 3 ศอก สร้างในสมัยพระยาลิไท ฝีมือช่างสุโขทัย มีส่วนเศียรกับส่วนองค์พระเป็นคนละองค์ เข้าใจว่าคงได้รับการซ่อมแซมให้เป็นองค์เดียวกันก่อนนำมาไว้ที่เมืองอุทัยธานี โดยได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในพระเศียรก่อนจะอัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้

       บนวัดสังกัสรัตนคีรียังเป็นหนึ่งในจุดชมวิวเมืองอุทัยธานีที่ผู้คนมักแวะเวียนมาโดยเฉพาะช่วงเย็น เพราะนอกจากจะได้ชมพระอาทิตย์ตกแล้วยังได้ชมภาพความงดงามของเมืองที่อยู่ด้านล่างท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับด้วย แต่ก่อนแสงสุดท้ายของวันจะหมดลงอย่าลืมไปเช็กอินหมุดโลก 1 ใน 3 ของเอเชีย ที่อยู่ในบริเวณวัดด้วยอีกอย่าง

       จากตัวเมืองขับรถออกไปทางอำเภอลานสักเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศที่แตกต่างของ “หุบป่าตาด” สถานที่ที่เต็มไปด้วยความพิศวงทางธรรมชาติจนได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปเยือน โถงถ้ำขนาดใหญ่ที่ภายในคือผืนป่าอันน่าพิศวงมีต้นตาดขึ้นอย่างดาษดื่นและพันธุ์ไม้หายากมากมาย ราวกับว่ากำลังหลุดอยู่ในโลกยุคดึกดำบรรพ์อย่างไรอย่างนั้น

       แล้วแวะไปชมทัศนียภาพงดงามของ “เขื่อนทับเสลา” เขื่อนชลประทานขนาดใหญ่ กั้นลำห้วยทับเสลา เป็นอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนที่มีภูเขาสลับซับซ้อนเป็นฉากหลัง ก่อนจะเดินทางต่อไปยังอำเภอบ้านไร่ แวะ “วัดถ้ำเขาวง” ชมความสวยงามของโบสถ์ไม้สักและไม้มะค่าที่สร้างไล่ระดับไปตามเนินเขาที่อยู่เบื้องหลัง ด้านหน้าคือสวนหิน ไม้ดัด และไม้ประดับ ก่อนจะไปออกแรงขาเดินขึ้นเขาไปชมวิวแบบ 360 องศาที่ “วัดเขาหินตั้ง”

       มาถึงอำเภอบ้านไร่แล้วห้ามพลาดการแวะไปเยือน “ตลาดซาวไฮ่” ตลาดที่เกิดจากชาวอำเภอบ้านไร่ร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรในพื้นที่จัดขึ้น โดยตั้งใจจะให้เป็นพื้นที่ที่เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน นำผลผลิตมาจำหน่ายโดยไม่ผ่านพ่อค้า โดยมี ราเมศวร์ เลขยันต์ เป็นแกนนำในการก่อตั้ง

       แน่นอนว่ามาที่นี่จะได้ผัก ผลไม้ตามฤดูกาล ข้าวกล้องอินทรีย์ สินค้าแปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตร ต้นไม้พันธุ์ไม้ท้องถิ่น สินค้าสดจากไร่ นา สวน จากเกษตรผู้ผลิตโดยตรง เช่น ฟักทอง ฟักหอม หน่อไม้ ผักสลัด สมุนไพร ติดไม้ติดมือกลับไป นอกเหนือจากนั้นยังมีดนตรีจากวงซุมข้าวแลงและผองเพื่อน เพลิดเพลินกับมินิฟาร์ม การละเล่นพื้นบ้าน เดินขาโถกเถก เดินกะลา อิ่มอร่อยส้มตำรสเด็ด ปลาหมอย่าง มะขามยักษ์แช่อิ่ม ขนมและอาหารพื้นบ้าน กาแฟสด น้ำอ้อยอินทรีย์ ใครที่ชื่นชอบงานคราฟท์ งานศิลป์ ผ้าทอ ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ แชมพูมะกรูดปั่นสด สบู่สมุนไพร เครื่องประดับ สินค้าให้เลือกซื้อเยอะจนเงินในกระเป๋าได้สั่นระรัว

       ใครจะไปเช็กวันล่วงหน้า เพราะตลาดซาวไฮ่จะเปิดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. หรือขายต่อเนื่องในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์อย่างเทศกาลปีใหม่นี้

       ของดีบ้านไร่ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะยังมี “น้ำตกผาร่มเย็น” สายน้ำสีขาวที่ทิ้งตัวลงมาจากป่าทึบอยู่เบื้องล่าง ตามหน้าผาดินเขียวครึ้มด้วยมอสเฟิร์นที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น คือภาพความงดงามจากธรรมชาติที่สามารถดื่มด่ำได้จากริมถนน ชาวอุทัยธานียกย่องว่า ที่นี่คือน้ำตกสวยงามที่สุดของจังหวัด

       เดินทางท่องเที่ยวที่ใดอย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล และล้างมืออยู่เสมอหลังสัมผัสวัตถุใด ๆ สอบถามเส้นทางท่องเที่ยวเพิ่มเติม ททท.สำนักงานอุทัยธานี โทร. 0-5651-4650