นับถอยหลังอีก 2 วันกำลังจะก้าวพ้นปี 2564 ปีฉลู (วัว) ทะยานเข้าสู่ ปีขาล (เสือ) 2565

ไม่มีใครคาดเดาได้ วิกฤติโควิด-19 ในประเทศไทย จะเป็นเช่นไรต่อ?

แต่ที่รู้แน่ ๆ คือคงยังไม่จบลงง่าย ๆ อย่างแน่นอน แม้ตอนนี้หลายคนอาจจะมี วัคซีนอยู่เต็มแขน แล้วคิดว่าคงช่วยป้องกัน เจ้าไวรัสมรณะ ได้นั้นคงไม่ใช่เสียแล้ว

โอมิครอน เชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่ กำลังยกระดับแผลงฤทธิ์ จากพบครั้งแรกใน แอฟริกาใต้ ก่อนจะค่อยขยับเข้าไปในซีกโลกยุโรป อเมริกา แบบรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อเพียงประมาณสัปดาห์เศษ ๆ ยอดติดเชื้อรายใหม่ในอังกฤษ ฝรั่งเศส พุ่งทะลุเกินวันละ 1 แสนคน ทั้งที่พลเรือนส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนกันเกือบหมดแล้ว ในยุโรปจึงต้องระดมฉีดกระตุ้นภูมิกันอีกระลอก

การระบาดของโอมิครอน ติดเชื้อเร็ว-แพร่เชื้อง่าย-ดื้อต่อภูมิคุ้มกัน แม้อาการจะรุนแรงน้อยกว่า สายพันธุ์เดลตา แต่ที่หลาย ๆ ประเทศกำลังเป็นห่วงคือ หากจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ย่อมส่งผลทำให้โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์จะรับมือไม่ไหว ในยุโรปบางประเทศ ตัดสินใจงัดมาตรการคุมเข้มทันที ตัดสินใจล็อกดาวน์ยาวไปจนถึงหลังปีใหม่

ฝั่งเอเชีย จีนแผ่นดินใหญ่ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน รายงาน (26 ธ.ค.) พบผู้ป่วยโควิดเพิ่ม 158 ราย เป็นสถิติการติดเชื้อในประเทศสูงสุดในรอบ 21 เดือน ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองซีอาน มณฑลส่านซี ตั้งแต่วันที่ 9-25 ธ.ค. เมืองซีอาน พบผู้ป่วยโควิด 485 คน ถึงแม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 158 ราย ก็ยังทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง 26 คน ของเมืองซีอาน ได้รับโทษทางวินัย เหตุผลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุดท้ายสาธารณสุขเมืองซีอาน ประกาศล็อกดาวน์เมือง บังคับใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด อาทิ ออกนอกบ้านเพื่อหาซื้อสิ่งของจำเป็น ครอบครัวละ 1 คน/2 วันครั้ง, เดินทางข้ามเมือง ข้ามเขต ข้ามมณฑล ต้องยื่นคำร้องเพื่อขออนุมัติ รับเอกสารไปแสดงที่จุดตรวจ และผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทาง ต้องมีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบภายในเวลาที่กำหนด เรียกว่าจีนยังใช้กฎเหล็กคุมเข้มวิกฤติภายในประเทศ

ปัจจุบัน เจ้าโอมิครอน เดินทางมาถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ตรวจพบมีผู้ติดเชื้อทั้งในพื้นที่ภาคกลาง อีสาน ใต้ และเหนือ เชื้อกลายพันธุ์ระลอกนี้มารวดเร็วทันใจเกินกว่าที่คาดคิด แถมดันมาในช่วงจังหวะเทศกาลหยุดยาวเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2565 พอดิบพอดีอีก

หยุดยาวสิ้นปี คงต้องทำให้หลาย ๆ คนคงต่างขวัญผวากันอีกอย่างแน่นอน กลางปี 2564 ประเทศไทยเพิ่งจะมีบทเรียนฝันร้าย
โควิด ทั้งช่วงก่อนหยุดเทศกาลสงกรานต์ มี คลัสเตอร์สถานบันเทิงทองหล่อ เกิดการแพร่ระบาด สายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ถัดมาเดือนพฤษภาคม คลัสเตอร์แคมป์คนงานกลางกรุง เจอ สายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) เข้ามาเล่นงานซ้ำอีก

สภาพความโกลาหลของประเทศไทย เกือบตลอดทั้งปี 2564 เป็นเรื่องจริงไม่แตกต่าง สู้ศึกสงครามโรคระบาด ที่ถูกไวรัสมรณะโจมตีไปทั่วหย่อมหญ้า ต้องบันทึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์ไปเล่าให้ชั่วลูกชั่วหลานฟัง ผู้คนล้มตายราวกับใบไม้ร่วง ภาพความสลดใจมีให้เห็นทั้งจบชีวิตคาบ้าน ริมฟุตปาธ แม้กระทั่งเดินออกมาสิ้นใจกลางถนนก็มีให้เห็น โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร เกือบทุกแห่งล้นไม่มีเตียง ต้องสร้างทั้ง รพ.สนาม เสริมด้วย ฮอสพิเทล โรงแรมที่เข้าร่วมก็ยังไม่พอ ต้องจัด โฮมไอโซเลชั่น ให้แยกกักตัวอยู่ที่บ้าน บางจังหวัดนำร่องทำ คอมมูนิตี ไอโซเลชั่น ไว้ดูแลผู้ป่วยโดยชุมชน

หากย้อนไปดูตัวเลขช่วงกลางปี เดือนก..64 ที่ผ่านมา ยอดติดเชื้อสะสมอยู่ที่ประมาณ 5 แสนคน ผู้เสียชีวิตกว่า 4 พันราย ขยับมาถึงเดือน ธ..กำลังใกล้จะสิ้นปี ประเทศไทยมียอดผู้ป่วยสะสมกว่า 2 ล้านคน เสียชีวิตทะลุไป 2 หมื่นคน ฉีดวัคซีนเข็ม 1-2 ไปแล้ว 100 ล้านโด๊ส ฉีดเข็ม 3 กว่า 6 ล้านโด๊ส

ตอนนี้เจ้าโอมิครอน ไวรัสกลายพันธุ์ ที่เปรียบเสมือนเป็น “ข้าศึก” ตัวใหม่ กำลังเริ่มโจมตีอีกระลอก อย่าลืมว่ากลางปีเรายังปิดประเทศ แต่ช่วงท้ายปี มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ กว่า 2 แสนคน ยังคงทยอยเข้ามาไทย แล้วไปต่อยังจังหวัดแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ดังนั้นช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คงต้องงัดมาตรการ “การ์ดไม่ตก” มาใช้เหมือนเดิม เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัว.

————
เชิงผา