..แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
บทกลอนที่ท่านสุนทรภู่แต่งไว้ และเราๆ เคยท่องจำกันตั้งแต่เด็ก เตือนสติให้รู้ว่า จิตใจมนุษย์นั้นยากแท้จะหยั่งถึง ต่อให้เราระวังแค่ไหน ถ้าคนจ้องทำลายหรือคิดหาผลประโยชน์จากเรา เขาก็จะทำทุกทางให้เราตายใจและตกเป็นเหยื่อ แม้คนที่ไว้ใจก็อาจจะเป็นคนร้ายที่สุดก็ได้
อย่างเช่นชีวิตของ “ลุงเจ๊ก” นายนรศักดิ์ ศรีพิรุณทิพย์ หนุ่มใหญ่วัย 63 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 103 หมู่ 14 ต.ประโคนชัย อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ครองโสดมาถึงปัจจุบัน เพราะตลอดช่วงชีวิตลุงเจ๊กจะตั้งใจขยันทำงานหาเงินเก็บหอมรอมริบมา เพราะตั้งเป้าหมายปั้นปลายอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบกับผู้หญิงดีๆ สักคนที่จะมาคอยดูแลเป็นคู่ทุกข์คู่ยากในวัยชรา แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีผู้หญิงประมาณ 15 คน หลากหลายรูปแบบเข้ามาทำความรู้จักตีสนิทกับลุงเจ๊ก ให้ความหวังใช้ชีวิตครองคู่ และจับจุดได้ว่าลุงเจ๊กเป็นคนใจดีที่มีแต่ความจริงใจ คบใครไม่หวังสิ่งตอบแทน มีแต่ให้ และไม่เคยล่วงเกินผู้หญิงคนไหนถ้ายังไม่ได้แต่งงานกัน!! หรือจะเรียกว่า “ลุงสายเปย์” ก็ว่าได้ สาวบางคนโอนให้เป็นแสนยังไม่เคยเจอตัวจริงก็มี
ค่ำวันหนึ่งลุงเจ๊กหอบหิ้วเสื่อ ผ้าห่ม พัดลม และของใช้จำเป็นถือทุลักลุเลเดินขึ้น สภ.ประโคนชัย ใจหนึ่งก็แค้น ใจหนึ่งก็ยังรักและสงสาร “น้องนัดดา” สาวสุโขทัย อายุ 27 ปี ที่คบหามาร่วม 5 เดือน หลังเธอโดนจองจำอยู่ในห้องขังเพราะถูกตำรวจจับในข้อหาฉ้อโกง และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ ซึ่งคนที่แจ้งความเอาผิดกับน้องนัดดาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ “ลุงเจ๊ก” นั่นเอง เพราะถูกฉ้อโกงเงินไปกว่า 10 ล้าน!!
ที่หน้าห้องขัง ลุงเจ็ก มองเห็นหญิงสาวที่รักนั่งกอดเข่าหน้าเครียดไม่มีญาติมาเยี่ยมสักคน จะมีก็เพียงลูกน้อยวัย 7 ขวบ ที่ติดจากสามีเก่านั่งเฝ้าแม่อยู่ ดูแล้วเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก ลุงเจ๊กร้องขอสิบเวรหน้าห้องขังส่งพัดลมและข้าวของเข้าไปให้หญิงสาวเพื่อคลายร้อน แต่ได้รับการปฏิเสธเพราะเป็นกฎระเบียบ ซึ่งลุงเจ็กก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ลุงเจ๊ก กล่าวว่า ตนกับน้องนัดดารู้จักกันทางเฟซบุ๊กกลุ่มหาคู่ เมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ก็รู้สึกสนใจในรูปร่างหน้าตาจึงทักเข้าไป ฝ่ายหญิงเป็นคนคุยเก่ง ประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากรู้จักกัน ฝ่ายหญิงก็ขอยืมเงินอ้างว่าแม่ป่วย ตนจึงโอนเข้าไปให้ 10,000 บาท จากนั้นน้องนัดดาก็ได้ยืมครั้งละ 1 หมื่นบาทเรื่อยมา ในห้วง 1 เดือนได้โอนเงินเข้าไปให้กว่า 2 แสนบาท กระทั่งฝ่ายหญิงมาคุยว่าจะยอมแต่งงานด้วย และได้นัดหมายจะสู่ขอกันที่ จ.ชัยนาท เพราะมีบ้านญาติอยู่ที่นั่นแต่มีปัญหาเพราะถูกกักตัวโควิดที่กรุงเทพฯ จึงขอเปลี่ยนที่นัดหมายกันเป็นสถานีขนส่งหมอชิต
“ตนรีบนั่งรถทัวร์จากบุรีรัมย์ไปตามนัดคนเดียว เมื่อไปถึงพบน้องนัดดามาพร้อมกับหญิงสาวอีกคน บอกว่าเป็นป้า พอเจอหน้าครั้งแรกรู้เลยว่า “ไม่ตรงปก” เพราะหน้าในโปรไฟล์กับตัวจริงไม่เหมือนกัน แต่ก็รับได้ จากนั้นจึงทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือกันที่สถานีขนส่งหมอชิต ตนได้มอบทองให้ไป 2 บาท จากนั้นน้องนัดดาได้เดินทางกลับมาที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ด้วยกัน มาอยู่ที่บ้านตนประมาณ 4 วัน แล้วขอกลับบ้านที่ จ.สุโขทัย และได้สานสัมพันธ์คุยกันทางเฟชบุ๊กมาอย่างต่อเนื่อง”
ต่อมาตนตรวจสอบบัญชีตัวเองพบว่าระหว่างวันที่ 19-30 มิ.ย.64 มีการโอนเงินออกไปหลายครั้ง จากเงินสดในบัญชีทั้งหมด 3.9 ล้านบาท เหลือเพียง 241.39 บาท และมารู้ว่าฝ่ายหญิงเอาโทรศัพท์ไปโอนเข้าบัญชีของตัวเองและของญาติ จึงได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ประโคนชัย จากนั้นน้องนัดดาก็ได้โทรฯ มาบอกว่า “เราจะเป็นครอบครัวกันแล้ว ทำไมถึงไปแจ้งความ”
“น้องนัดดายังออดอ้อนบอกอีกว่า ที่ดินของพี่ที่มีอยู่ 9 ไร่ จะขายได้ถึง 16 ล้านบาท ถ้าขายได้แล้วเรามาสร้างครอบครัวด้วยกัน ตนซึ่งรักน้องนัดดาสุดหัวใจอยู่แล้วจึงได้มอบอำนาจให้ไปน้องเขาไปขายเอง สุดท้ายมารู้ว่าทีหลังว่าที่ดินขายได้เพียง 7,500,000 บาท เงินที่ได้น้องนัดดาก็เอาเงินเข้าบัญชีตัวเองไปเรียบร้อย ทีแรกก็คิดว่าถ้าคนรักกันไม่น่าทำแบบนี้ได้ จึงตัดสินใจจะเอาเรื่องจนถึงที่สุดเพื่อให้บทเรียน”
แต่เมื่อมาเห็นน้องนัดดาถูกคุมขังก็รู้สึกสงสารและเห็นใจ จึงไปเอาผ้าห่มกับพัดลมมาให้ ยอมรับว่าเป็นห่วงเพราะตนไม่เคยมีครอบครัว ถ้ารักใครรักจริง สำหรับน้องนัดดาตั้งแต่รู้จักกันมา 5 เดือน ยังไม่เคยแตะต้องตัวแม้ปลายเล็บ
“ตอนเป็นหนุ่มตนก็มุ่งแต่หาเงินและเก็บอย่างเดียว พอรู้ตัวว่าแก่แล้วก็อยากจะมีลูกเป็นของตัวเองและต้องการแม่ของลูกอายุประมาณ 25-30 ปี ที่ผ่านมาถูกหญิงสาวหลอกโอนเงินมาแล้วหลายครั้ง บางคนตกลงจะแต่งงานอยู่กินก็เบี้ยว แต่ละคนโอนเงินให้คนละไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท รวมทั้งหมดตั้งแต่ปลายปี 63 มาจนถึงตอนนี้ไม่น้อยกว่า 15 คน ทั้งหมดไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเพราะให้เกียรติที่ยังไม่ถึงวันแต่งงาน แต่น้องนัดดาคนนี้หนักสุด เสียเงินไปกว่า 10 ล้านบาท”
ถัดมาอีกวัน “ลุงเจ๊ก” ก็ได้รับข่าวดี “น้องนัดดา” ได้ยินยอมโอนเงินคืนให้แล้ว 2.8 ล้านบาท จะยังเหลือก็เป็นเงินขายที่ดินอีก 7.5 ล้านบาท อยู่ระหว่างการเจรจาว่าจะดำเนินการอย่างไร
หลังทุกอย่างคลี่คลาย ลุงเจ๊ก บอกว่า หลังจากที่มีข่าวของตนเองออกไป มีผู้หญิงโทรศัพท์มาสมัครขอร่วมชีวิตด้วยอีกเป็นจำนวนมาก มาถึงตอนนี้รู้สึกปลงเพราะคิดว่าน่าจะเสียมากกว่าได้ ประกอบกับอายุมากแล้วไม่อยากจะถูกหลอกอีก แต่ก็ยังไม่ถึงกับล้มเลิกความตั้งใจที่อยากจะมีภรรยา ยังรับสมัครอยู่
ถ้าคนใหม่ที่จะเข้ามาคบตนขอให้จริงใจและซื่อสัตย์ ต่อไปจะไม่มีการโอนเงินไปเป็นค่าหมั้นแล้ว ถ้าคุณอยากจะมีครอบครัวจริงๆ ให้มาบ้านตน มาแต่งงานแบบขันหมากและถ่ายรูปไว้ว่ามีการแต่งงานกันจริงๆ ไม่ทำแบบโอนเงินไปก่อนแล้วตัวอยู่ไหนไม่รู้ ไม่เอาอีกแล้ว!!
คอลัมน์ : นิยายชีวิต โดย : อสงไขย
เรื่องและภาพโดย : วันชัย ผิวอร่าม จ.บุรีรัมย์
แนะนำเรื่องราวชีวิตดั่งนิยาย หรือสอบถามได้ที่ [email protected]