วันนี้ทีมข่าว “1/4 Special Report” มีโอกาสคุยกับ ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรมว.ศึกษาธิการ อดีตรมว.คลัง และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ หนี้สินครัวเรือน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาโควิดของรัฐบาลด้วย
หนี้ครัวเรือน 100%-รายได้ไม่พอจ่ายดอกเบี้ย
ศ.ดร.สุชาติกล่าวว่าหนี้สินครัวเรือนจะกระจายอยู่ใน 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1.หนี้เพื่อซื้อทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถยนต์ 2.หนี้ที่กู้ยืมมาประกอบอาชีพ 3.หนี้ที่กู้ยืมมาเพื่อกินใช้ ซื้อข้าวของอุปโภคบริโภค โดยช่วงไตรมาส 4/63 คนไทยมีหนี้ครัวเรือนประมาณ 89.4% ของ “จีดีพี” แต่พอไตรมาส 1/64 หนี้ครัวเรือนขยับขึ้นมาที่ 90.5% ของจีดีพี คือเพิ่มขึ้นมา 1%
ปัจจุบันคนไทยมีหนี้ครัวเรือน 14.1 ล้านล้านบาท ขณะที่ขนาดจีดีพีของประเทศอยู่ที่ประมาณ 15.1 ล้านล้านบาท ตัวเลขใกล้เคียงกันแบบนี้เพราะช่วง 7 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไม่โต หรือโตน้อยแค่ปีละ 2-3% พูดง่าย ๆ ว่าจีดีพีโตน้อยกว่าหนี้
อันที่จริงหนี้ในข้อที่ 1 ไม่เป็นไร เพราะเป็นหนี้ที่กู้มาซื้อทรัพย์สิน กู้มาซื้อที่อยู่อาศัย กู้ไปซื้อรถปิกอัพเพื่อไว้ใช้ทำมาหากิน ซึ่งในประเทศพัฒนาแล้วมีหนี้ตัวนี้กันมาก กู้มาซื้อที่อยู่อาศัยกันมาก คนในประเทศพัฒนาแล้วจึงมีหนี้ครัวเรือนสูงเหมือนกันถึง 100% แต่เขามีรายได้สูงกว่าคนไทยหลายเท่า และมีสวัสดิการด้านต่าง ๆ ดีกว่าเรา
แต่ปัญหาของไทยคือหนี้ข้อที่ 3 ไปกู้มาเพื่อกินใช้ หนี้เพื่ออุปโภคบริโภค ตรงนี้น่ากังวลมากเนื่องจากสัดส่วนค่อนข้างสูงประมาณ 1 ใน 4 ของการกู้ทั้งหมด แล้วเวลาวัดจำนวนหนี้ ก็ไม่สามารถวัดได้จริง เพราะบางอย่างเป็นหนี้นอกระบบ จึงไม่ยอมบอกข้อมูลกัน หรือไม่บอกความจริง โดยปัญหาหนี้นอกระบบเยอะกว่าที่เราเห็น และเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ศ.ดร.สุชาติกล่าวต่อไปว่าคนไทยเป็นหนี้มาก ๆ เหมือนคนในประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้ เพราะเราไม่มีรายได้สูงเหมือนเขา คล้ายกับคนรวยก็เป็นหนี้กันมาก แต่คนจนเป็นหนี้มากไม่ดี เช่นภาคธุรกิจเป็นหนี้เกิน 100% กันมากมาย บรรดาเจ้าสัวรายใหญ่มีหนี้เกิน 100% ของรายได้กันทั้งนั้น แต่คนชั้นกลางและคนระดับล่างจะไปก่อหนี้มากมายขนาดนั้นไม่ได้
“คนไทยจะมีหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แนวโน้มหนี้ครัวเรือนคงทะลุ 100% เพราะปีนี้หนี้เพิ่มขึ้นเร็ว เนื่องจากรัฐบาลบริหารเศรษฐกิจไม่ดี ไม่ดีมาตั้งแต่รัฐประหาร สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจึงเพิ่มขึ้นเร็ว บางอย่างเรายังต้องกินต้องใช้เท่าเดิม ไม่ว่าจะมีรายได้เท่าไหร่ ยิ่งมาเจอปัญหาโควิด-19 แล้วรัฐบาลไปห้ามไม่ให้คนบางกลุ่มทำมาหากิน ในขณะที่พวกเขายังต้องกินต้องใช้ สุดท้ายต้องไปกู้นอกระบบมาซื้อกิน แล้วปัญหาตามมาคือมีรายได้ไม่พอจ่ายดอกเบี้ย ไม่พอจ่ายเงินต้น”
หนี้โตเร็วเพราะรัฐบาลบริหารเศรษฐกิจไม่ดี
ปัญหาหนี้ของคนไทยทั้งหนี้สาธารณะสูงถึง 60% หนี้ครัวเรือน 90.5% ด้วยอัตราที่เพิ่มขึ้นเร็วเพราะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารเศรษฐกิจไม่ดี โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก 2 ประการ คือ
1.คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นผู้นำ เหมือนคนอเมริกันไม่เชื่อมั่น “โดนัลด์ ทรัมป์” ด้วยปัญหาการแสดงออกในที่สาธารณะ การไม่มีองค์ความรู้ คนจึงไม่อยากเข้ามาลงทุน การขยายตัวทางเศรษฐกิจจึงไม่ดี ยิ่งเห็นไทยมีหนี้สาธารณะสูง หนี้ครัวเรือนสูง หนี้นอกระบบเพียบ แล้วใครอยากจะขนเงินมาลงทุน มาแล้วเจ๊งหรือเปล่า คนในประเทศมีกำลังซื้อหรือ?
2.รัฐบาลปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งตัวเกินไปในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จึงมีปัญหากับภาคการส่งออก คือได้เงินดอลลาร์มาแลกเป็นเงินบาทได้น้อย สินค้าหลายอย่างเราแพงกว่าเวียดนามและอินเดีย โดยเฉพาะการส่งออกข้าวตอนนี้ไทยส่งออกข้าวได้ 5.7 ล้านตันกว่า ๆ เท่านั้น จากเมื่อก่อน 11 ล้านตัน จึงหล่นมาอยู่อันดับ 5 ของโลก
แต่ภาวะของค่าเงินเพิ่งดีเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เมื่อค่าเงินบาทอ่อนไปอยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์ฯ จากที่เคยป้วนเปี้ยนอยู่ 30-31 บาท จึงเห็นได้ว่ามีเม็ดเงินจากภาคการส่งออกเพิ่มขึ้นมากในเดือนพ.ค.64 เพิ่มขึ้น 42% โดยครึ่งหนึ่งมาจากปีที่แล้วที่ลดลงไป 22% และอีก 20% มาจากค่าเงินบาทอ่อนลง คือได้ดอลลาร์ฯเข้ามาแลกเป็นเงินบาทได้มากขึ้น ตรงนี้เกิดขึ้นในทางเทคนิค ถ้ารัฐบาลและผู้นำมีความสามารถในการสร้างความเชื่อมั่น จะช่วยให้ภาคการส่งออกขยายตัวได้เยอะ
แต่ปัญหาความไม่เชื่อมั่นกำลังเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะตัวผู้นำ ยกตัวอย่างกรณี “ทรัมป์” กับ “โจ ไบเดน” ตอน ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี กิริยาท่าทางการแสดงออกไม่ดี บริหารงานแย่ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็น “ไบเดน” กลายเป็นคนละเรื่องเลย ต้องยอมรับว่าไบเดนเป็นคนเก่ง มีทีมงานที่เก่ง จึงบริหารโควิด-19 ได้ดีที่สุดในโลก เรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้เยอะเลย
เหมือนกับการบริหารงานบริษัท ขึ้นอยู่กับผู้จัดการใหญ่หรือ “ซีอีโอ” ถ้าซีอีโอไม่มีองค์ความรู้ ทีมงานแย่ ทำอะไรไม่เป็นหลักเป็นฐาน เปลี่ยนไปมา ไม่คงเส้นคงวา ทำให้บริษัทนั้นแย่ไปหมด พนักงานจะอยู่กันลำบากเหมือนกับคนไทยกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจไม่โต แต่หนี้โตเร็วมาก จนถึงวันหนึ่งจ่ายดอกเบี้ยไม่ทัน เพราะเงินต้นกับดอกเบี้ยสูงกว่ารายได้
ปัญหาใหญ่ “ผู้นำ” ขาดความรู้โดยไม่รู้ตัว
ยิ่งรัฐบาลกู้เงินมาแจกสะเปะสะปะ ยิ่งไปกันใหญ่ เป็นการสร้างนิสัย สร้างพฤติกรรมไม่ดีให้กับคนไทยจำนวนไม่น้อยที่จะรอรับเงินแจกอย่างเดียว คล้าย ๆ กับครอบครัว พ่อแม่จะไม่แจกเงินลูก แต่จะส่งเสริมให้ลูกออกไปทำงานหาเงินซื้อข้าวของเอง แต่ถ้าครอบครัวไหนแจกเงินลูกอย่างเดียว ลูกอยากได้อะไรก็ให้ วันหนึ่งครอบครัวถึงคราล่มสลายอย่างแน่นอน
“รัฐบาลสร้างนิสัยไม่ดีให้กับคนไทย การแจกเงินหลายโครงการไม่เกี่ยวข้องกับโควิด โดยเฉพาะโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ผมไม่เห็นด้วย ตอนนี้เศรษฐกิจไม่โต แต่คุณให้ประชาชนเอาเงินที่ควรเก็บออมไว้ออกมาใช้จ่าย เพื่อจะได้ส่วนที่คุณนำเสนอกลับมา รัฐบาลส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ เพื่ออยากได้ในสิ่งที่รัฐก็ไปกู้ยืมมา ซึ่งเป็นภาระหนี้ประเทศ จากขาดดุลงบประมาณ 4-5 แสนล้านบาท/ปี พุ่งขึ้นมาเป็น 7 แสนล้านบาท นี่คือการกู้แบบปกติ แถมยังกู้พิเศษ 2 ครั้ง รวม 1.5 ล้านล้านบาท นำมาแจกสะเปะสะปะ เพราะพล.อ.ประยุทธ์และทีมเศรษฐกิจไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์มหภาคเลย”
ปัญหาใหญ่คือผู้นำขาดความรู้ โดยที่ผู้นำไม่รู้ตัว วันนี้พิสูจน์แล้วว่าการบริหารประเทศไม่ง่ายเหมือนการบริหารกองทัพ เพราะในระบบเศรษฐกิจจะมีความยุ่งยากและซับซ้อนมากกว่า แต่การบริหารกองทัพเมื่อถึงเวลาก็ได้เงินงบประมาณไปใช้ ถึงเวลาก็สั่งลูกน้องเข้าแถวเบิกกระสุนไปยิงดิน ยิงต้นไม้ ในอดีตมีนายพลหลายคนที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีสภาพคล้ายกัน คือไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีความรู้ทางวิชาการ ยิ่งได้ทีมงานไม่ได้เรื่องจึงไปกันใหญ่ ดังนั้นประเทศไทยจึงควรเลิกใช้คนที่ขาดความรู้มาเป็นผู้นำ เพราะจะพาประเทศไปล้มละลาย
“ประยุทธ์” ถอยเถอะ–ใครจะอุ้มต้องคิดให้หนัก!
เมื่อถามถึงการแก้ปัญหาโควิด-19 ศ.ดร.สุชาติกล่าวว่ารัฐบาลทำงานแบบไม่มีแผน ตั้งแต่การจัดหาวัคซีน แค่เรื่องง่าย ๆ ทำไมจึงไม่หาวัคซีนดี ๆ มาให้คนไทยฉีดอย่างทั่วถึง โชคดีตอนนี้อาจจะชะลอแนวความคิดฉีดวัคซีนแบบผสม คือใช้ซิโนแวคเข็มที่ 1 และแอสตราเซเนกาเข็มที่ 2 ออกไปก่อน หลังจากองค์กรอนามัยโลกเตือนว่าไม่ควรทำ เพราะเสี่ยงต่อชีวิต
สำหรับปัญหาโควิดเริ่มด้วยซื้อวัคซีนมาผิดชนิด ประสิทธิภาพต่ำ ภูมิต้านทานโควิดสายพันธุ์ปกติลดลงเร็วมากในไม่กี่วัน แทบไม่สามารถป้องกันโควิดสายพันธุ์เดลตาเลย ขณะที่ประชาชนเรียกร้องให้หาวัคซีนประเภท mRNA (ไฟเซอร์-โมเดอร์นา) ซึ่งพิสูจน์มาแล้วทั่วโลกว่าป้องกันโควิดทุกสายพันธุ์ได้ดี แต่ดูเหมือนรัฐบาลไม่ตั้งใจจะซื้อ mRNA ทั้งที่รัฐควรคำนึงถึงชีวิตประชาชนให้มากๆ หากจะทำบุญให้ประเทศให้ประชาชนจริง ๆ ก็เอาวัคซีนทั้ง 2 เข็ม แบบ mRNA จะดีมาก
นี่ยังไม่รวมโครงการเปิดเกาะภูเก็ต (ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์) เปิดภูเก็ตแต่มาปิดกรุงเทพฯ แล้วเชื้อโควิดในภูเก็ตกลับมาระบาดอีกแล้ว เพราะคุณไม่มีแผนเลย ผู้นำสั่งการแบบส่งเดชแต่ไม่มีแผน จึงเละไปหมด ไหนจะปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง เขาเคยมีรายได้ขั้นต่ำวันละ
300 บาท (เดือนละ 15,000 บาท) แล้วรัฐบาลไม่ให้ทำงาน แล้วแจกเงิน 3,000-4,000 บาท คนงานอยู่กันได้หรือ? ก็ต้องไปกู้นอกระบบ วันก่อนเห็นว่าจะแจกข้าว 1 ล้านกล่อง คุณแจกได้ทุกวันและทั่วถึงหรือเปล่า?
มาถึงตรงนี้จึงอยากสรุปว่าพล.อ.ประยุทธ์อยู่ยาก! เนื่องจากคนที่เคยเชียร์นายกฯ แต่ตอนนี้ส่วนใหญ่ออกมาขับไล่พล.อ.ประยุทธ์กันหมดแล้ว เพราะลำบากเดือดร้อนเหมือนกันหมด ดังนั้นเพื่ออนาคตของประเทศ ผู้มีอำนาจในทุกระดับต้องคิดให้หนักถ้าจะอุ้มรัฐบาลประยุทธ์ต่อไป เพราะจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับประเทศ โดยส่วนตัวมองว่าพล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไปไม่ได้ และถ้าเห็นกับประเทศคุณก็ต้องยอมถอย เพื่อให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น.