ปัจจุบันการเจริญเติบโตของโลกออนไลน์หรือโลกยุคดิจิทัลกำลังเป็นประเด็นที่หลายคนให้สนใจอย่างมาก เนื่องด้วยทั่วโลกมีอัตราจำนวนผู้ใช้โซเชียลมีเดียในโลกออนไลน์พุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าตัวและเมื่อเราสามารถท่องโลกและใช้สังคมออนไลน์ได้กว้างขึ้น เราก็จะสามารถแสดงออกทางความคิดเห็น ทั้งความชอบและไม่ชอบต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ความเจริญของโลกออนไลน์หรือสังคมไร้ขีดจำกัดยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ อัตราอาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือการละเมิดและรุกล้ำสิทธิของผู้อื่นก็มีสูงเป็นเงาตามตัว และบางคนก็แทบไม่รู้เลยว่าเรากำลังถูกเอาเปรียบ ใส่ร้าย วิจารณ์จากคนที่ใช้ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารนี้เป็นช่องทางในการกระจายข่าวให้เกิดผลกระทบต่อเรา ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม และเมื่อเราได้รับผลกระทบไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งจึงเกิดคำถามต่อมาว่า เรามีสิทธิในการป้องกันตัวเองหรือลุกขึ้นมาแสดงออกในเรื่องนี้ได้หรือไม่

ในปี 2564 ที่ผ่านมา “คนบันเทิง” ของไทยได้ออกมาแสดงจุดยืนและทำให้หลายคนๆ ในสังคมตระหนักแล้วว่าการปกป้องตนเองในฐานะคนสาธารณะก็เป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้เหมือนกันเมื่อถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว ถูกต่อว่า วิจารณ์ ใส่ร้ายและยัดเหยียดให้เกิดการเกลียดชังต่อตัวเขาเอง ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง

“สาวน้อยตระกูลจอง” เหยี่ยวข่าวสาวของ ”เดลินิวส์ออนไลน์” จึงไม่พลาดรวบรวมคนบันเทิงที่ออกมาต่อสู้ ฟ้องร้องและเอาผิดคนที่กำลังใช้โซเชียลมีเดียในการทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อพวกเขา

เริ่มต้นเคสที่เด่นชัดมากๆ ก็คือนางเอกสาวคนดัง “แมท ภีรนีย์ คงไทย” ที่ออกมายอมรับว่าได้ตัดสินใจให้ “ทนายนิด้า” ทนายคนดังรวบรวมหลักฐานที่มีคนเขียนคอมเมนต์ใส่ร้าย ต่อว่าและวิจารณ์เธอด้วยความรุนแรงและหยาบคาย หลังเธอเปิดตัวคบหากับหวานใจไฮโซ “สงกรานต์ เตชะณรงค์” ในโลกออนไลน์ ทำให้เธอถูกสังคมเข้าใจผิดและไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเพราะถูกคอมเมนต์และเกรียนคีย์บอร์ดโจมตีและต่อว่าเธอตลอด โดยสาวแมทเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 1 ล้านบาทต่อเคสต่อคน และมีหลายคนถึงกับคุกเข่าร้องไห้ขอร้องเธอหน้าศาลเพราะไม่มีเงินชำระมาแล้วด้วย

ทั้งนี้ ทนายนิด้า เคยให้สัมภาษณ์กับทาง “เดลินิวส์ออนไลน์” ถึงเรื่องราวดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 ต.ค.63 ว่า “วันนี้ (19 ต.ค.) คู่กรณีที่หมิ่นประมาทก็มาเจอกับน้องแมทค่ะ เขาก็มากราบขอโทษน้องแมทและคุณแม่ แต่ทางเราก็ยังดำเนินคดีต่อไปคือน้องแมทอยากให้คำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานของสังคม ซึ่งเคสที่เตรียมจะฟ้องก็จะมีอีกลอตที่ 2 น่าจะประมาณ 10 คน ซึ่งข้อมูลที่เรารวบรวมมาก็มีเป็น 100 กว่าเคสเลย แต่จะฟ้องเท่าไหร่นั้นต้องดูว่าน้องแมทสะดวกไปศาลเท่าไหร่ น้องแมทเองเขาก็โอเคตั้งแต่ที่ตัดสินใจจะฟ้องแล้ว ตอนนี้ก็ต้องบอกว่ามีคนไดเรกต์มาสอบถามเยอะ คือคนไดเรกต์มาก็พยายามติดต่อน้อง คุณแม่และเรา ซึ่งก็มีบางคนที่น้องแมทตัดสินใจไม่ฟ้องหรือยกเคสไปเพราะเขาก็ได้มีการแสดงให้เห็นว่ามีการเยียวยา ลบโพสต์และแก้ไขความผิด แต่เป็นเคสที่เราดูแล้วข้อความพอยอมได้ ไม่ใช่รุนแรงเกินยอมรับไหวค่ะ”

ถัดมาเป็นเคสของสาว “จั๊กจั่น อคัมย์สิริ” กับอดีตผู้จัดการส่วนตัว “อาบี” ที่ไปสร้างข่าวเท็จให้นักข่าวและโลกออนไลน์ว่าสาวจั๊กจั่นเป็นโลกใบที่สองของหนุ่ม “เค” หวานใจ ทำให้หนุ่มเคเสื่อมเสียชื่อเสียง กระทบต่อธุรกิจของครอบครัวและสาวจั๊กจั่นก็ถูกโจมตีจากคนที่รับสารผิดไปอย่างมากมาย โดยสาวจั๊กจั่นเคยให้สัมภาษณ์ผ่านรายการดังถึงกรณีนี้ว่า “เรื่องฟ้องอดีตผู้จัดการก็เรียกว่าต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย เริ่มที่เหมือนเราไปแจ้งความหมิ่นประมาทเอาไว้ก่อน ก็ตามข่าวเลยก็ประมาณ 10 ล้าน อันนี้เป็นขั้นต่ำเพราะว่ามันมีผู้เสียหาย ก็มีเค จั่น แล้วมีพี่จ๋า ผู้จัดการ และก็มีน้องพี ที่โดนหมิ่นประมาทคือทั้ง 4 คน ฟ้องคนละคดี ถามว่าจะยอมความไหม อันนี้ก็ต้องดูก่อน เพราะว่าการที่เราจะยอมความเราต้องรู้ว่าเขารู้สึกผิดจริงหรือเปล่า หรือเสียใจในการกระทำหรือเปล่า กับ นก-อุษณีย์ ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ล่าสุดก็คือได้คุยที่เขาขอโทษจั่น แต่ถามว่าเจอกันไหม ไม่ได้เจอกันเลย และจั่นก็ไม่ได้ฟ้องนกเพราะนกไม่ได้หมิ่นประมาทจั่น แฟนจั่นฟ้อง มันเหมือนเป็นการหมิ่นประมาททางการโฆษณา การที่เขาลงมันสื่อไปถึงธุรกิจอะไรด้วย ตอนที่นกมาจั่นก็ได้ดู ตอนจั่นดูจั่นก็รีบส่งหาพี่หนิงเลยว่าโอเคหรือเปล่า เพราะเราดูเราก็เข้าใจได้ว่าเขาขอโทษเรา แต่เราอยากให้เขาขอโทษแฟนเรา ครอบครัวเรา ครอบครัวแฟนเรา ถามว่าจั่นโกรธเขาไหม จั่นไม่ได้โกรธนะ แต่จั่นงงในเมื่อทุกอย่างคลี่คลายทำไมเพื่อนเรายังเชื่อว่าตาลยังมีตัวตนอยู่ ทั้งๆ ที่ทั่วประเทศรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ตาลไม่มีตัวตน แต่เหมือนเขายังเชื่ออยู่ วันนั้นที่เขาโทรฯ มาเคลียร์กับจั่น จั่นก็บอกว่าอะไรที่ทำให้เขาเชื่ออยู่ คนทั้งประเทศเขาเคลียร์หมดแล้ว เขาก็บอกว่าเขาขอโทษที่คิดไม่ตรงกันกับเรา”

ปิดท้ายกันที่เคสของสาว “สายป่าน อภิญญา” นางเอกคนดังที่ควงทนายไปศาลอาญาเพื่อยื่นฟ้อง “ครูสอนดำน้ำ” ที่โพสต์เฟซบุ๊กหมิ่นประมาท ทำธุรกิจอุปกรณ์ดำน้ำเสียชื่อเสียง โดยสาวสายป่านยอมรับว่าหลังเหตุการณ์ที่เกิดทางคู่กรณีไม่เคยติดต่อมาพูดคุยไกล่เกลี่ยหรือขอโทษ ซึ่งความเสียหายทางธุรกิจก็ยังไม่ฟื้นกลับมาเหมือนเดิม และหากคู่กรณีจะขอโทษตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้ว ตอนนี้ต้องกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาก่อน ยืนยันจะเดินหน้าเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ซึ่งสาวสายป่านเองก็สู้จนถึงที่สุด โดยใช้กฎหมายเป็นตัวกลางในการคืนความยุติธรรมให้กับเธอ ท่ามกลางแฟนๆ ที่ติดตามเรื่องราวและเคสของเธออย่างต่อเนื่อง

จริงๆ ถ้ามองในแง่ของการปกป้องสิทธิของตนเองแล้ว ถือว่าปีที่ผ่านมา คนบันเทิง” ได้ทำให้คนทั่วไปได้รู้และเข้าใจในสิทธิของตนเองมากขึ้น เพราะมีหลายกรณีที่คนทั่วไปได้ใช้กระบวนการทางกฎหมายในลักษณะดังกล่าวเพื่อเรียกร้องให้เกิดการสืบสวน สอบสวนและหาบทสรุป ให้กับเรื่องราวของตนเองที่ถูกเอาเปรียบจากคนที่ใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์นั่นเอง..

——————-