ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2554 การถึงแก่อสัญกรรมของนายคิม จอง-อิล ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในเวลานั้น เป็นวันที่โลกได้รู้จักกับนายคิม จอง-อึน บุตรชายของอดีตท่านผู้นำผู้ล่วงลับ ในฐานะผู้นำสูงสุดคนใหม่ของประเทศ “อย่างเป็นทางการ”
แม้ก่อนหน้านั้น นายคิม จอง-อึน ไม่ได้ถูกวางตัวให้เป็นทายาททางการเมือง แต่เป็นพี่ชายต่างมารดา คือนายคิม จอง-นัม อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน การดำเนินนโยบายตามแบบฉบับของนายคิม จอง-อึน สร้างแรงกระเพื่อมอย่างชัดเจนในทางภูมิรัฐศาสตร์
นอกเหนือจากตำแหน่งทางการเมืองและทางทหารมากมายที่ได้รับการแต่งตั้ง นายคิม จอง-อึน ยังส่งสัญญาณการดำเนินนโยบาย “ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง” โดยในปี 2555 นายคิม จอง-อึน ไปชมการแสดงคอนเสิร์ตของวง “โมรันบง” ที่เรียกได้ว่า “เกิร์ลกรุ๊ปแห่งชาติ” ของเกาหลีเหนือ และการแสดงหลายช่วงมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับการแสดงคอนเสิร์ตของตะวันตก อย่างไรก็ดี ท่านผู้นำใช้โอกาสนี้เปิดตัวนางรี ซอล-จู ภริยา และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเกาหลีเหนือ
ในด้านนโยบายเศรษฐกิจ นายคิม จอง-อึน มีแผนยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจตามแบบฉบับของตัวเอง เรียกว่านโยบาย “บยองจิน” โดยอาศัยแนวทางนโยบายของนายคิม อิล-ซุง ผู้ก่อตั้งประเทศและประธานาธิบดีตลอดกาลของเกาหลีเหนือ ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของตัวเองด้วย นั่นคือการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน ที่วิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สร้างแรงเสียดทานอย่างหนักให้กับทุกองคาพยพทางเศรษฐกิจ นายคิม จอง-อึน ออกมากระตุ้นพรรคคนงานอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นสมาชิกทุกระดับเพิ่มความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ “เพื่อฟันฝ่าการเดินทัพอันเหนื่อยยาก” เพื่อช่วยให้ประชาชนในเกาหลีเหนือพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก
อนึ่ง คำว่า “การเดินทัพอันเหนื่อยยาก” ที่นายคิมกล่าวถึงนั้น หมายถึงภาวะทุพภิกขภัยครั้งร้ายแรง ในช่วงไม่กี่ปีก่อนการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อปี 2534 ส่งผลให้มีชาวเกาหลีเหนือเสียชีวิตมากถึง 3 ล้านคน
ขณะเดียวกัน นายคิม จอง-อึน กล่าวต่อที่ประชุมสมาชิกกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคนงาน เมื่อต้นเดือนนี้ ว่าแม้เกาหลีเหนือยังคงประสบกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจหลายประการ แต่ในเวลาเดียวกัน พรรคคนงานประสบความสำเร็จ ในการขับเคลื่อนนโยบายตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ที่มีกรอบระยะเวลา 5 ปี และเผยแพร่เมื่อช่วงต้นปี 2564
นอกจากนี้ การกำหนดและขับเคลื่อนนโยบายทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการป้องกันประเทศ ยังก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการอย่างมีเสถียรภาพของหน่วยงานรัฐทุกแห่งที่เกี่ยวข้อง และปีหน้ายังคงเป็นอีกปีหนึ่งที่สำคัญ ขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันทุ่มแทแรงกายแรงใจ เหมือนกับที่ปฏิบัติกันอย่างเต็มกำลังต่อไป
อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายของเกาหลีเหนือซึ่งเป็นที่สนใจและจับตามากที่สุดของชาวโลก ยังคงหนีไม่พ้นโครงการพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ ตลอดจนความสัมพันธ์กับสหรัฐ ซึ่งนายคิม จอง-อึน กล่าวถึง “แผนยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐ” ว่าจุดยืนของรัฐบาลเปียงยางต่อรัฐบาลวอชิงตันของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นับจากนี้ ต้องมีความพร้อมทั้งในด้าน “การเจรจาและการเผชิญหน้า” กับอีกฝ่าย โดยการเคลื่อนไหว “อย่างสมดุล” ในลักษณะดังกล่าว จะช่วยรักษา “สภาพแวดล้อมอันสันติ” และ “การการันตีด้านความมั่นคงแห่งรัฐ” ให้กับเกาหลีเหนือได้
แม้ไม่ได้มีการขยายความมากนัก แต่นายคิม จอง-อึน เดินทางเยือนเกาหลีใต้ เมื่อเดือน เม.ย. 2561 จริงอยู่ที่การพบหารือครั้งนั้น กับประธานาธิบดีมุน แจ-อิน ผู้นำเกาหลีใต้ เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ความมั่นคงร่วม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตปลอดทหาร ทว่าการที่เขตนั้นอยู่ในฝั่งเกาหลีใต้ สร้างประวัติศาสตร์ให้นายคิม จอง-อึน เป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือคนแรก ซึ่งเดินทางเยือนเกาหลีใต้ ขณะที่นายมุน แจ-อิน เดินทางเยือนเกาหลีเหนือ เมื่อเดือน ก.ย.ปีเดียวกันด้วย
นอกจากนั้น นายคิม จอง-อึน ยังสร้างประวัติศาสตร์ เป็นผู้นำสูงสุดคนแรกของเกาหลีเหนือ ที่หารือแบบพบหน้ากับผู้นำสหรัฐอย่างเต็มคณะ นั่นคือการพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สิงคโปร์ เมื่อปี 2561 และที่เวียดนาม เมื่อปี 2562
อนาคตของนายคิม จอง-อึน ในอีก 10 ปีข้างหน้า จริงอยู่เป็นเรื่องของตระกูลคิม แต่การเคลื่อนไหวของมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ จีน และรัสเซีย บ่งชี้ว่า สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีไม่ได้คาบเกี่ยวแต่เฉพาะกับเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ยังมีความเชื่อมโยงกับทุกภูมิภาคในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด แม้อาจไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ต้องจับตาความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือเช่นกัน แม้จะแล้วแต่ที่รัฐบาลเปียงยางจะเปิดเผยให้รับรู้ก็ตาม.
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES