ช่วงนี้มีหนังที่น่าสนใจเข้าโรงกันรัว ๆ หลังรัฐบาลประกาศเปิดประเทศ พร้อมยกเลิกเคอร์ฟิว ทำให้โรงภาพยนตร์กลับมาเปิดฉายหนังได้จนถึงรอบดึก ๆ แน่นอนว่ามีหนังที่ค้างสต๊อกมากมายถูกทยอยนำออกมาฉายกันเพียบ รวมไปถึงหนังไทยอย่าง “ส้มป่อย” ซึ่งเป็นหนังงานดี โปรดักชั่นสวย รวมทั้งมีภาษาเหนือชวนฟังตลอดทั้งเรื่อง สำหรับคนที่ไม่รู้จักว่า “ส้มป่อย” คืออะไร? นี่คือพืชชนิดหนึ่งที่ชาวเหนือชอบนำมาประกอบอาหาร และยังมีความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมหลายอย่าง โดยเชื่อว่าสามารถกำจัดสิ่งชั่วร้ายและความอัปมงคลออกไปจากชีวิตได้

แต่สำหรับ “ส้มป่อย” ที่เป็นภาพยนตร์ไทยนั้น กลับไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพืชชนิดนี้เลย ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของเด็กสาววัยรุ่นในจังหวัดลำพูนที่ชื่อว่า ส้มป่อย เธออยากมีแฟนหนุ่มเป็นตัวเป็นตน โดยคนหนึ่งเป็นหนุ่มจากกรุงเทพฯ ส่วนอีกคนเป็นเพื่อนที่อยู่ใกล้ตัว ความรักสามเส้าชุลมุนวุ่นวายจึงเกิดขึ้น

หนังเรื่องนี้จะเน้นโฟกัสไปที่นักแสดงสาว “น้ำตาล” พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ ที่ได้โชว์สกิลภาษาเหนือตลอดเรื่อง บทบาทของสาวแก่นแก้ว ซ่อนความน่ารักไว้ในแววตา ใครได้ยลเป็นต้องหลงเสน่ห์ “ส้มป่อย” ทุกราย ขณะที่ 2 หนุ่มที่จะมาปั่นป่วนหัวใจ “ส้มป่อย” รายแรก “ป๊อป-ธัชทร ทรัพย์อนันต์” รับบท “แวน” หนุ่มยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยว รายที่สอง “ตี๋-ธนพล จารุจิตรานนท์” เพื่อนชายสุดหล่อประจำหมู่บ้าน ความสนุกฮาปนโรแมนติก เมื่อต้องเล่นคู่กันปรากฏให้เห็นก็จริง แต่บทของ “ส้มป่อย” ก็ยังต้องแบกทั้งเรื่องอยู่ดี สูตรสำเร็จของหนังแนวรักโรแมนติก มักจะต้องทำให้ตัวเอกโดดเด่นที่สุด ฮาที่สุด เพราะความสนุกของหนังส่วนใหญ่ก็เกิดจากพฤติกรรมของตัวเอกกับนักแสดงสมทบล้วน ๆ ยิ่งมีการนำวัฒนธรรมพื้นบ้านทางเหนือมาใช้ประกอบ ก็ยิ่งทำให้ใครหลายคนรู้สึกเป็นเรื่องใกล้ตัว อย่างไรก็ดี หนังเรื่องนี้อาจเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สะท้อนแนวคิดของวัยรุ่นสาวยุคใหม่ ที่มีความคิดอ่านเกี่ยวกับสิทธิต่าง ๆ ให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคม จึงถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ไม่น่าพลาดในเวลานี้

จากหนังไทยข้ามฟากไปที่หนังเกาหลีกันบ้างกับ “Midnight คืนฆ่าไร้เสียง” ชื่อหนังก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นแนวไหนแบบไม่ต้องเดา นี่คือหนังฆาตกรโรคจิตวิ่งไล่ฆ่าเหยื่อที่เป็นหญิงสาวที่หูหนวกและเป็นใบ้ นั่นคือพล็อตที่ผู้สร้างวางเอาไว้ ทำให้เหยื่อรายนี้จะไม่ได้ยินเวลาฆาตกรเข้ามาใกล้ แถมจะตะโกนเรียกให้ใครมาช่วยก็ไม่ได้อีก เพราะเป็นใบ้ แค่นี้ก็น่ารักน่าลุ้นกันสุด ๆ แล้ว

นอกจากพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ การแสดงของตัวเอกอย่าง คยองมี (แสดงโดย จินกีจู) ที่รับบทเป็นสาวหูหนวกเป็นใบ้ และฆาตกรโรคจิตสุดหล่อ โดชิก (แสดงโดย วีฮาจุน) และ แม่ของนางเอก (แสดงโดย กิลแฮยอน) ทำให้หนังไหลลื่นไปได้เรื่อย ๆ แบบไม่น่าเบื่อ แม้บทบางช่วง การเดินเรื่องบางอย่าง จะดูขัดใจบ้าง ดูน่ารำคาญบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของการดูหนังเสียขนาดไปต่อไม่ได้

โดยภาพรวมเป็นหนังที่ผู้เขียนค่อนข้างเอ็นจอยกับการชม สนุกปนขำ โดยเฉพาะฉากวิ่งไล่ล่ากันระหว่างฆาตกรกับเหยื่อ ที่วิ่งกันแทบทั้งเรื่อง ก็ไม่รู้ว่านี่มันหนังแนวระทึกขวัญ หรือหนังวิ่งแข่งกันแน่ แต่ก็ “สนุกดี”

ปิดท้ายด้วยหนังฝรั่ง The Green Knight จากค่ายคุณภาพอย่าง A24 ที่เคยทำ The Lobster, Moonlight, Minari หนังได้รับคะแนนรีวิวสูงมากจากทั่วโลก จนบางคนยกย่องว่านี่คือภาพยนตร์แห่งปี 2021 แบกหนังเรื่องนี้เอาไว้โดยนักแสดง “เดฟ พาเทล” ที่ต้องรอดูกันว่าจะมีลุ้นออสการ์ไหม?

นี่คือเรื่องราวการผจญภัยสไตล์แฟนตาซีที่หยิบตำนานกษัตริย์อาเธอร์อันยิ่งใหญ่มาตีความใหม่ เล่าเรื่องโดย กาเวน หลานชายผู้บ้าบิ่นและเอาแต่ใจของกษัตริย์อาเธอร์ หนึ่งในอัศวินโต๊ะกลม เขาหาญกล้ารับคำท้าของอัศวินมรกต ดาบของเขาบั่นคอของมันลงได้ แต่อัศวินมรกตหาได้ตายไม่ กาเวนต้องพบเจอทั้งเหล่าภูตผี ยักษ์ หัวขโมย และจอมวางแผน ซึ่งได้สร้างนิยามแห่งตัวตนให้แก่เขา ทั้งยังได้พิสูจน์คุณค่าให้ประจักษ์แก่สายตาของครอบครัวและผู้คนทั้งอาณาจักร

เริ่มเรื่องจะเป็นฉากที่ กาเวน เข้ามาที่เมือง เป็นช่วงที่คนดูเข้าใจง่ายที่สุด และปล่อยอารมณ์ตัวเองให้ไหลไปตามเรื่อง ยังไม่ต้องทำความเข้าใจหรือคิดตามอะไรมากมาย แต่หลังจากผ่าน 1 ปี หนังจะให้คนดูได้เริ่มใช้ความคิดเองว่า ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาได้ บางฉากนักแสดงจะไม่มีบทพูด แต่ใช้เป็นการสื่ออารมณ์ต่าง ๆ

สำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบหนังที่มีองค์ประกอบภาพสวยงาม ไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะในเรื่องนี้จะเน้นภาพสวย และเทคนิคการถ่ายทำต่าง ๆ แบบจัดเต็ม และบทสรุปตอนท้ายเรื่องก็ให้ผู้ชมได้คิดต่อกันเองว่าจะจบอย่างไร เหมือนที่ให้ได้คิดตามกันมาทั้งเรื่อง.

“บอย-เช-เติร์ก”