เป็นการ “รีแบรนด์พรรค” ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ได้พื้นที่สื่อทุกช่องทางทั้งออฟไลน์ ออนไลน์จากทุกสำนัก ใครวางแผนการโปรโมตได้ “ขั้นเทพ” ขอปรบมือรัว ๆ ให้ ยุทธวิธีเปิดตัว อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกทักษิณ หลานยิ่งลักษณ์ เข้ามาเป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย กลายเป็นปรากฏการณ์อุ๊งอิ๊ง หรือ อุ๊งอิ๊ง Effect สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วหลังประชุมใหญ่ประจำปีพรรค เมื่อ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ณ จังหวัดขอนแก่น
วันเดียวกับที่พรรคทหารของ 3 ป. มีประชุมสำคัญเพื่อนัดปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นเก้าอี้เลขาฯ พรรค พปชร. เนื่อง จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศกร้าว ไม่สามารถร่วมงานกับเลขาฯ พรรคคนนี้ได้อีกแล้ว แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ร.อ.ธรรมนัส ยังคงอยู่ในเก้าอี้ต่อ แถมมีโพลจาก ส.ส. ในพรรคตั้ง 80% ยอมรับเสียอีก แสดงให้เห็นว่า การทำงานแบบคลุกคลีถึงลูกถึงคน ใจถึง พึ่งได้ ของผู้กองนัส ได้ใจ ส.ส.มากกว่าที่คนอย่าง “ตู่” ซึ่งก่อนหน้าไม่เคยแยแสใน ส.ส.จะปรึกษาก็แต่ใน “วอร์รูมสี่เหลี่ยม” กับเหล่า เสธ. จะคาดคิดถึง นั่นชี้ว่า ศึกในพรรค พปชร. ยังไม่จบง่าย ๆ หรอก
กลับมาที่การ “รีแบรนด์” พรรคเพื่อไทยหนนี้ ใครจะว่าเชียร์ก็ยอมรับ เพราะมันเป็นความจริงที่พรรคนี้เผชิญวิบากกรรมแสนสาหัสถูกศาล รธน. สั่งยุบพรรคไปถึง 2 ครั้ง 2 ครา จากไทยรักไทยไปพลังประชาชนมาเพื่อไทย กก.บริหารไม่ถูกแช่แข็งก็กำจัดออกไป แม้แต่ สมัคร สุนทรเวช ซึ่งเคยอยู่ฝ่ายจารีตสุดขั้ว เมื่อมาอยู่ฝั่งนี้ ก็ไม่ได้รับการยกเว้น ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ต้องเป็นอดีตนายกฯ ไร้แผ่นดิน ข้อหาทุจริตแค่ฉากแรก โดยเฉพาะกับทักษิณแล้ว ข้อหาหนักสุดกลับเป็น “บังอาจวัดรอยเท้า” ทุกองคาพยพจึงถูกระดมมาเพื่อทำลายล้างทั้งคนและพรรคที่ทักษิณเกี่ยวข้อง แม้แต่ รธน. อัปยศปี 2560 ก็มีขึ้นเพื่อสืบต่อภารกิจนี้ แต่กว่า 2 ทศวรรษก็ยังกำจัดทักษิณและไทยรักไทยไม่ได้ ที่ทำได้คือตัดแขนตัดขา ทำให้อ่อนเปลี้ย หมดพลังกาย หมดพลังใจ ไปเรื่อย ๆ
ใครว่าสิ่งนี้ ไม่ใช่ความอยุติธรรม ?!?
การ “รีแบรนด์” พรรคเพื่อไทยเที่ยวนี้ จึงสำคัญยิ่งยวด การตกผลึกทางความคิดของทักษิณหนึ่ง ความต้องการเป็นสถาบันของพรรคเพื่อไทยหนึ่ง น่าจะเป็นบทสรุปของการเรียก “จิตวิญญาณ” ในฐานะพรรคที่เคยเข้มแข็ง ทรงพลัง และมีประสิทธิภาพแบบยุคก่อตั้งกลับมาอีกครั้ง จึงเห็นคนเช่น ภูมิธรรม เวชยชัย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เกรียง กัลป์ตินันท์ เสนาะ เทียนทอง พิชัย นริพทะพันธ์ุ ชัยเกษม นิติศิริ ถอยไปเป็น กก.ยุทธศาสตร์หรือมันสมอง โดยมี หมอเลี้ยบ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นผู้อำนวยการพรรค
หน.พรรคคนใหม่ คือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เลขาฯ พรรค คือ ประเสริฐ จันทรรวงทอง กก.บริหารมีดาวเด่น อย่าง จิราพร สินธุไพร ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร จิรายุ ห่วงทรัพย์ และอีกหลายคนที่ไม่ได้กล่าวถึง ทุกคนล้วนเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง ขยันทำการบ้าน กัดไม่ปล่อย มีหนามรอบตัว การออกแถลงการณ์พร้อมรับข้อเสนอให้มีการแก้ ก.ม. ม.112 และ ม.116 เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของไทย ถือเป็นความกล้าหาญทางการเมืองที่มาพร้อมกับการ “รีแบรนด์” พรรคในอีกระดับหนึ่ง เพราะจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาและการโจมตีอีกมากมายตามมา
อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร อาจเป็นอาวุธสุดท้ายของตระกูล “ชินวัตร” ว่าเทหมดหน้าตักจริง แต่เธอยังแค่เด็กน้อยทางการเมือง ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯเลย แม้จะฝ่าด่านการขุดคุ้ยกรณีอื้อฉาวข้อสอบเอนทรานซ์จุฬาฯ รั่วได้อย่างทรนง ชัดเจน แต่ยังคงต้องการเวลาบ่มเพาะประสบการณ์อีกมาก หากจะเดินเส้นทางการเมืองจริงจัง สำคัญเหนืออื่นใด คือการช่วยทำให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นเช่น “นกฟีนิกซ์” ที่ฟื้นคืนชีพจากกองขี้เถ้า กลับมามีจิตวิญญาณเสรีที่จะก้าวไปและต่อสู้อย่างห้าวหาญ
เป็นความหวังของคนรักประชาธิปไตยอีกครั้ง.
———————————–
ดาวประกายพรึก