ทุกวันนี้การเจริญเติบโตของ “ของโป๊” ในสังคมไทยมีมาก ก็เป็นของที่คนชอบดู ขนาดหนังดังที่เข้าอยู่ตอนนี้อย่างเรื่องร่างทรง ก็เห็นมีความเห็นชาวเน็ตเยอะอยู่ที่พูดว่า “ชอบฉาก 18+ ในเรื่อง” คือฉากโป๊นั่นแหละ บางคนชมแบบไม่รู้ชอบจริงหรือชมเอาเกรียนว่าเป็นความดีงามที่สุดในเรื่อง ทั้งที่จริงๆ จุดขายของหนังมันไม่ใช่เรื่องนั้นสักนิด มันพูดถึง “อำนาจเหนือธรรมชาติ” แบบให้ตีความว่า “จริงๆ แล้วอะไรคืออำนาจมืดร้ายกาจในเรื่อง” ก็มาแนวเดียวกับหนังเรื่องก่อนหน้านี้ของ นาฮงจิน โปรดิวเซอร์เรื่องร่างทรง คือเรื่อง the wailing..ฆาตกรรมอำปีศาจ ที่ “ไว้ใจไม่ได้ทั้งเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ใครคือคนเลวตัวจริงกันแน่” เสน่ห์มันคือปริศนาที่เรื่องสร้างขึ้นมาและความน่ากลัว ไม่ใช่ฉากโป๊
หันไปดูแผงหนังสือ เราจะพบว่า ปัจจุบัน “นิยายวาย” นี่ขายดิบขายดีมากในไทย มีทั้งคนไทยเขียนเองและไปซื้อต่างชาติมาแปล คนไทยเขียนเองก็มีระบบประเภทเอาไปลงตามเว็บไซต์ก่อน แล้วใครอยากอ่านตอนต่อก็เปิดให้จ่ายเงินสมทบ เดินไปร้านหนังสือบางร้านเห็นนิยายวางเป็นแผงยาวเหยียด … “แนววาย” คืออะไร ก็อารมณ์ประมาณการจินตนาการ (หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า จิ้น) ให้ผู้ชายกุ๊กกิ๊กกัน แต่แฟนคลับนิยายแนวนี้เขาจะตีกันว่า “วายไม่ใช่เกย์” ซึ่งคนไม่ทันโลกก็งงๆ ไป ชายรักชายมันไม่ใช่เกย์ได้อย่างไร? คนเข้าใจก็สรรหาคำมาอธิบายเอาแล้วกัน
ลองหานิยายวายมาอ่านดูบ้าง ก็พบว่า “มันไม่ใช่แค่กุ๊กกิ๊กกันล่ะ” เพราะหลายเรื่องเขียนฉากร่วมเพศแบบโจ๋งครึ่มมาก แต่มี “คนมีผัวแล้ว” บางคนนินทาว่า “คนเขียนมโนเอาทั้งนั้นแหละ ของจริงมันไม่ได้แบบนี้ เผลอๆ คนเขียนเคยมีเซ็กซ์หรือยังก็ไม่รู้” ซึ่งถ้ามโนเอาก็น่าตกใจ และน่าตกใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าคนเขียนบางคนนี่อายุยังไม่เท่าไร ทำไมถึงคิดอะไรสัปดี้สีประดนแบบนี้ได้เป็นฉากๆ โลกในนิยายวายไทยนี่ เด็กคณะวิศวะกับแพทย์ได้กันตลอด ไม่ค่อยมีอะไรใหม่
เรื่องจินตนาการทางเพศ เรื่องของโป๊ ควรปิดบังซ่อนเร้นแค่ไหน? มันเป็นเรื่อง “แล้วแต่จะคิด” สายเสรีนิยมมันก็บอกว่า เรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ จะปกปิดไว้ทำไม ปกปิดไว้ปัญหาก็เยอะ ควรเปิดให้มันเป็นเรื่องธรรมดา เพื่อทำให้สอนเรื่อง สุขศึกษา เรื่อง “ความยินยอมพร้อมใจ” (consent) ได้ดีขึ้น หรือให้กลายเป็นเรื่องที่ถ้าใครตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศ ก็ไม่กล้าพูดเพื่อเรียกร้องสิทธิของตัวเองหรือเป็นบทเรียนให้สังคมสอนความเคารพในร่างกายผู้อื่น
กระแสเรื่องเสรีภาพทางเพศเคยถูกปลุกขึ้นมาจากกระแส “fifty shades of Grey” ที่คนเขียนเป็นแม่บ้านธรรมดาๆ แต่เขียนเรื่อง อารมณ์ปรารถนาของผู้หญิง แบบอยากได้ผู้ชายหล่อ รวย ร้าย มีเล่นซาดิสต์โซ่แส้กุญแจมือเพิ่มรสชาติทางเพศ เรื่องนี้ดังจนเป็นปรากฏการณ์ มีการมองว่า “ถึงเวลาแล้วที่ความต้องการทางเพศของผู้หญิงต้องมีพื้นที่พูดถึง” คือผู้หญิงไม่ใช่เบี้ยล่างที่จะถูกเลือกกระทางเพศตามความต้องการของผู้ชายอย่างเดียว แต่ผู้หญิงก็มี sex fantasy
ข้างฝ่ายกลางๆ เขาก็มองว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของ “สุนทรีย” ที่จะเปิดออกมาโทงๆ เผยออกมาหมดทั้งรูปทั้งภาษา ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นมันก็กลายเป็นของไร้ราคา ไม่กระตุ้นเร้าความสนใจ ดังนั้น เรื่องเพศนี่ควรจะยังต้องปิดลับระดับหนึ่งให้เร้าใจน่าค้นหาหน่อย และ ควรมี “พื้นที่” ของมัน ที่เปิดเฉพาะคนมีวุฒิภาวะแล้ว รู้วิธีระบาย และรับผิดชอบผลจากการกระทำที่เกิดจากอารมณ์กลัดมันของตัวเองได้ อย่างข่าวว่าในเมืองนอกนี่ วิธีการแบนเยาวชนไม่ให้เข้าสู่ของโป๊ได้ คือ คนเข้าถึงต้องมีบัตรเครดิต ทั้งเข้าเว็บไซต์หรือเคเบิลทีวี เพราะถ้าไม่บรรลุนิติภาวะนี่ทำบัตรไม่ได้ ..แต่ของโป๊ในพื้นที่ที่ไม่ต้องจ่ายเงินก็ยังมีเยอะ อย่างในทวิตเตอร์ ดังนั้น ถ้ามันห้ามไม่ได้ก็ต้องอยู่กับมัน สอนเยาวชนเรื่องการระบายอารมณ์ ความยินยอมพร้อมใจ การแก้ปัญหา ความรับผิดชอบ การให้เกียรติเพศตรงข้ามเสียแต่เนิ่นๆ
ส่วน ฝ่ายอนุรักษนิยม สุดโต่งไปเลย ก็ตีกันไปว่า “ต้องปกปิด!! มันเป็นเรื่องลี้ลับน่าอาย เราต้องป้องกันเยาวชนจากทุกอย่างที่จะกลายเป็นอบายมุขให้ใจแตก” แล้วก็โยนเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลจัดการ ซึ่งผลก็คือรัฐบาลก็จัดการอะไรง่ายๆ แบบว่า สั่งปิดมันซะ สั่งแบนมันซะ กลายเป็นกระเทือนพื้นที่ความบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ ..แล้วก็ย้อนกลับไปที่แนวคิดของฝ่ายเสรีนิยมตอนแรกว่า ถ้าปิดมันเสียหมดแล้วเราจะสอนเรื่องเพศศึกษาให้เยาวชนอย่างไร
เรื่องของโป๊ก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่เรื่อยไปเพราะมันปะทะทางความคิดระหว่างขั้วอนุรักษนิยม, ขั้วเสรีนิยม ความท้าทายคือ รัฐบาลในฐานะผู้มีอำนาจทางกฎหมายจะจัดสรรจุดลงตัวอย่างไร นอกจากความพอใจแล้ว โจทย์ที่สำคัญคือ “การมีของโป๊ไม่เป็นต้นเหตุข้ออ้างของอาชญากรรมทางเพศด้วย” ในประเทศไทยเรื่องอาชญากรรมทางเพศ การล่วงละเมิดยังมีมาก เอาเฉพาะที่กระทำต่อเยาวชน เพราะสู้ผู้กระทำไม่ได้ ..ที่เป็นข่าวเผลอๆ มีแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะบางกรณีเด็กไม่รู้ว่าถูกล่วงละเมิด, บางกรณีเหยื่ออาย, ผู้ปกครองอาย หรือเป็นเหตุเกิดในครอบครัวไม่อยากพูด ..วิธีแก้ปัญหาถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือต้องให้ การศึกษา การสอนการระวังตัว และสอนให้รู้ว่าเมื่อเกิดเหตุจะพึ่งพาใครได้
ที่อยู่ๆ อยากเขียนเรื่องนี้ เพราะเห็นว่า “วาระเรื่องเพศ” ประเทศเราชักจะมากขึ้น ตั้งแต่ กรณีน้องไข่เน่า, กรณีนักดนตรีชื่อดัง หรือที่นั่งดูข่าววันๆ ข่าวการข่มขืนการล่วงละเมิดทางเพศมันมีมาก แต่ของโป๊ก็ยังเป็นที่ชื่นชอบ และล่าสุดก็มี “sex issue” อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกจุดขึ้นมาในบ้านเรา คือเรื่อง “การค้าประเวณีเสรี” เห็นในเวทีประชุมพรรคเพื่อไทยมีการพูดเรื่องนี้ หรือพรรคก้าวไกล เขาก็เตรียมจะเสนอกฎหมายค้าประเวณีเสรีอยู่
ประเทศไทยควรค้าประเวณีเสรีหรือไม่? ตอบกำปั้นทุบดินคือ “ควร” เพราะมันมีผู้ค้าบริการในประเทศนี้เยอะ แล้วต่างด้าวชาวชนเผ่าก็เข้ามาขายในไทยเยอะ เมื่อไม่กี่วันก่อน มีข่าวเรื่องนายกฯ สเปน จะยกเลิกเรื่องค้าประเวณีถูกกฎหมายในสเปน แนวๆ เห็นว่า เพราะเป็นการกดขี่มนุษย์ เขาก็ยกตัวอย่างว่า “สเปนมีผู้ค้าประเวณีราวสามแสนคน ซึ่งจำนวนรองจากไทยแลนด์และเปอร์โต ริโก” อันนี้ฝรั่งทำสื่อบีบีซีเขาว่ามา ก็ไม่รู้ไปสำรวจที่ไหนอย่างไรเหมือนกัน แล้วไม่รู้ครอบคลุมพวกรับจ๊อบอิสระเองหรือรับผ่านเอเย่นต์ไม่นั่งร้านหรือเปล่า
ทำไมถึงควรค้าประเวณีเสรี ทั้งที่ไทยเป็นเมืองพุทธ? ตอบว่า ก็เพราะมันมีอยู่จริง จะเป็นเมืองพุทธก็หัดมีเมตตากรุณากับผู้ทำอาชีพนี้ ไม่ใช่มองเป็นเรื่องน่าแขยงเสียหมด คิดว่าพุทธศาสนิกชนที่ดีควรอยู่กับความเป็นจริงของสังคม และ ความเป็นชาวพุทธนี่ไม่ใช่ไปชี้หน้าว่าใครเลวแล้วจะได้บุญ แบบนั้นมันโทสะ โมหะเต็มในกมลสันดาน .. พุทธแท้เขามุ่งปฏิบัติธรรมด้วยตัวเอง รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ สะอาด นิพพานมันต้องไปคนเดียว..ง่ายๆ คือยอมรับว่ามันมีก็ไม่ได้เสียหาย แต่ถ้าจะโชว์ความเป็นพุทธะ เมื่อไม่ชอบก็แค่ไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยก็จบ
ประเด็นต่อมา ทำไมต้องค้าประเวณีเสรีในแง่ของสังคม เศรษฐกิจ? ตอบว่า ก็เพราะมันเป็นรายได้ที่จัดเก็บภาษีได้ และในขณะเดียวกัน คนที่ทำอาชีพค้าประเวณีก็ควรได้รับความคุ้มครองในประเด็นต่างๆ อาทิ 1. การคุ้มครองในด้านสุขภาพ เช่น การรับยา PrEP ฟรีเพื่อใช้กินก่อนการมีเซ็กซ์ ป้องกันการติดเชื้อ HIV การรับถุงยางอนามัยฟรี สิทธิในการตรวจเลือดหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากกว่า 2 ครั้งต่อปี สิทธิที่จะได้รับคำแนะนำสุขภาพตามปัญหาจริง สิทธิในการคุมกำเนิดชั่วคราวฟรี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรจะได้หากมีการมาขึ้นทะเบียน โดยการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลต้องเป็นความลับด้วยไม่ใช่ออกใบแปะหราว่าทำงานอะไร แต่มันรู้กันกับแพทย์หรือหน่วยงานที่จำเป็นต้องรับทราบข้อมูล
2.การขึ้นทะเบียนจะทำให้สามารถแยกแยะกลุ่มที่ถูกค้ามนุษย์กับกลุ่มที่มีความเต็มใจได้ ..การค้าประเวณีมันถือเป็นสิทธิในร่างกาย ถ้ามาขึ้นทะเบียนด้วยความเต็มใจ ก็คือจะไม่ถูกจับ ถูกตำรวจหรือเทศกิจรีดไถ เพราะถือว่าถูกกฎหมาย ..และมีสิทธิจะได้รับความคุ้มครองสวัสดิภาพหากเกิดกรณีแขกไม่ทำตามข้อตกลงหรือมีการซ้อมทรมาน สามารถเรียกตำรวจได้โดยไม่ต้องกลัวถูกจับในข้อหาค้าประเวณี ..และขณะเดียวกัน ถ้าใครไม่ได้ขึ้นทะเบียน ถ้าอยู่ร้านสามารถเอาผิดได้เต็มๆ เพราะถือว่าเป็นการค้ามนุษย์ หลอกลวง รับผ่านเอเย่นต์ ก็เอาผิดเอเย่นต์ได้
คำถามต่อมาคือ “ใครจะกล้ามาขึ้นทะเบียน?” แน่นอน ทุกคนกลัวการถูกตีตรา ต่างก็บอกว่า “ขอหากินเงียบๆ” หรือไม่ก็ “ไม่ได้คิดจะเป็นอาชีพ เอาแค่พอให้ได้เงินก้อนไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือทำอะไรๆ แค่นั้นแหละ” บางคนก็กลัวการขึ้นทะเบียนแล้วมีปัญหากับครอบครัว หรือมีปัญหาถ้าจะมีครอบครัวต่อไปในอนาคต กรณีจะให้มีผลดีทางเศรษฐกิจเขาก็ขอให้ไปเก็บกับร้านเอาแล้วกัน …คำว่า “ถูกกฎหมาย” ที่เขาต้องการคือ “ขอแค่เวลาขายไม่ถูกจับปรับหรือติดตะรางแค่นั้นแหละ ไม่ต้องมาขึ้นทะเบียนอะไร ไม่ต้องมาห่วงสุขภาพ ถึงเวลาเราจัดการกันเองได้”
แล้วเช่นนี้การบริการทางเพศจะเป็น “ธุรกิจสีเทาที่สร้างรายได้ให้ประเทศ” ได้อย่างไร จากภาวะโควิดร้านก็เจ๊งระนาว ..ออกไปเป็น “ศิลปินอิสระ” รับเองผ่านนายหน้าตามไลน์กลุ่ม, รับเองทางแอพพลิเคชั่นต่างๆ กันเยอะแยะแล้ว หรือกระทั่งถ้าให้ศิลปินอิสระพวกนี้ขึ้นทะเบียน จะไปนับได้อย่างไรว่าเขา“ได้งาน”เท่าไรที่จะไปคำนวณภาษี
ส่วนประเด็นสุขภาพนั้น…ขณะนี้เรามั่นใจได้อย่างไรว่า ผู้ค้าประเวณีในประเทศไทยมีความรู้ในเรื่องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พอ? โดยเฉพาะกลุ่มความรู้น้อยหรือชนกลุ่มน้อยชายขอบที่เข้ามาประกอบอาชีพ ถ้าไม่มีการขึ้นทะเบียนจะเอากลุ่มนี้มาอบรมไม่ได้ จะให้เอาหน่วยเข้าไปตามสถานบริการก็เห็นเหมือนไม่ค่อยสนใจกันนัก จากที่เคยทราบเรื่องว่าเอ็นจีโอบางเจ้าลงหน่วยตรวจเลือด ก็มีที่ไม่ยอมมาพอสมควร ..ขณะเดียวกันการขึ้นทะเบียนมันให้ตามตัวกันง่ายขึ้น
คำว่า “ค้าประเวณีถูกกฎหมาย” มันเป็นโจทย์ที่ละเอียดอ่อน ซึ่งต้องมองทั้งเชิง มิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ ศีลธรรม การแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการไม่สุจริต หรืออะไรที่คนอื่นอาจนึกออกอีกว่ามันมีมิตินี้เกี่ยวข้อง ตอนนี้เมื่อพรรคการเมืองคิดจะเอามันขึ้นมาบนดิน ขนาดพรรคก้าวไกลเตรียมจะออกกฎหมาย คงต้องรับฟังความเห็นกันหนัก ให้มันลงตัวระหว่างผลประโยชน์ของประเทศชาติและผลประโยชน์ของผู้ค้าบริการ
ถ้ารับฟังความเห็นคงมีหลายมุมที่น่าสนใจถูกนำเสนอออกมา เรื่องเพศนี่ถกกันจะสนุกก็ได้ น่ารำคาญก็ได้ เพราะมันขัดแย้งกันระหว่างเสรีกับอนุรักษ์ ต้องใจกว้างเวลาคุย.
………………………………………………………………………………..
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”
ขอบคุณภาพจาก : reuter,unsplash,Freepik,Pixabay