แฉนรกบาห์เรน ตอนที่ 1.
ถ้าหนูไม่ได้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วย!! หนูอาจจะตายไปแล้วก็ได้..
ขอบคุณที่ช่วยให้หนูหลุดพ้นจากขุมนรกบาห์เรน ได้กลับบ้าน ได้กลับมาเห็นหน้าแม่กับลูก และมีชีวิตใหม่อีกครั้ง..
คำพูดที่พรั่งพรูออกจากปากของหญิงสาววัย 34 ปี นามสมมุติว่า “แอน” ชาว จ.สมุทรปราการ เหยื่อสาวถูกแก๊งค้ามนุษย์หลอกไปค้าประเวณีที่บาห์เรน หลังได้รับการช่วยเหลือจนได้กลับประเทศไทย แอน เข้าขอบคุณ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ
และทราบข่าวดีว่า เช้ามืดของวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผบก.ปคม. นำตำรวจชุดหนุมานกองปราบ และตำรวจ ปคม. บุกไปจับกุมนางวรรณา ตัวการหลอกเธอไปค้ากามตกนรกทั้งเป็น มาดำเนินคดีและชดใช้กรรมที่ทำกับเธอไว้แล้ว
“แอน” พูดถึงมรสุมชีวิตที่ถาโถมก่อนจะถูกหลอกจาก “คนกันเอง” ไปค้ากามในต่างแดนจนแทบเอาชีวิตไม่รอด มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยกลับมาแต่ยังไม่หมดเคราะห์กรรมแทบสิ้นหวังชีวิต แต่ก็สร้างพลังแรงใจให้ตัวเองฮึดสู้จนผ่านพ้นวิกฤติ เล่าอย่างหมดเปลือกหวังเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้หญิงที่กำลังคิดจะไปทำงานต่างประเทศ พึงระวังจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ เพราะหลายคนที่ถูกหลอกไปค้ากามก็อาจจะไม่โชคดีเหมือนตัวเอง
“ถ้าเดือดร้อนก็ไปเถอะ ไปทำงานนวดสปาที่ต่างประเทศ งานสบายได้เงินเยอะเดือนละ 5-6 หมื่น อดทนไม่นานทางบ้านก็สบาย ไม่ต้องมานั่งหนีหนี้ หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนทุกวันนี้”
แอนยังจำคำพูดของ “ยายวรรณ” หรือนางวรรณาได้ดี ที่พยายามโน้มน้าวชักชวนเธอให้ไปทำงานต่างประเทศ ช่วงที่เธอกำลังต้องหนีหนี้ ถูกไล่ออกจากงานเพราะแก๊งหมวกกันน็อกคุกคาม ทำร้ายร่างกายตัวเองไม่พอยังคุกคามไปถึงครอบครัวจนอยู่กันไม่เป็นสุข
แอน เล่าว่า จุดเริ่มต้นของชีวิตหนูหลายคนคงคาดไม่ถึง มีสามีก็หวังจะมีครอบครัวเล็กๆ ช่วยกันทำมาหากิน จนวันหนึ่งช่วงปี 57 หนูเพิ่งคลอดลูกสาวคนแรกได้ไม่กี่วัน จู่ๆ ตำรวจก็มาค้นบ้าน ส่วนสามีตัวดีก็กระโดดหนีหายไป ตำรวจบอกว่าสามีหนูค้ายาบ้า และหนูเจอข้อหาร่วมค้ายาบ้าไปด้วย ติดคุกอยู่ร่วม 3 ปี ทั้งที่ไม่รู้เรื่องที่สามีทำมาก่อน และสามีเองก็ไม่เคยกลับมาเหลียวแลหนูกับลูกอีกเลย
ช่วงที่ติดคุก แม่กับป้าช่วยเลี้ยงลูกให้ ระหว่างที่อยู่ในคุกหนูพยายามทำตัวดี และได้เรียนรู้การนวดแผนไทยจนได้รับประกาศนียบัตรจากกระทรวงแรงงาน หลังได้รับอิสรภาพ หนูรับจ้างทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงครอบครัว และทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ของลูกในเวลาเดียวกัน
ต่อมาหนูได้งานเป็นพนักงานฝ่ายเร่งรัดหนี้สินบริษัทแห่งหนึ่ง มีเงินเดือนประจำ แต่รายได้ไม่พอรายจ่าย จึงลงทุนค้าขายเป็นอาชีพเสริม วิ่งหาซื้อไส้หมูต้มส่งร้านค้าส่งออก แรกๆ ก็กำไรดี แต่ทำไปทำมาขาดทุนเนื่องจากวิ่งส่งระยะทางไกล ไส้หมูเน่าทำให้ขาดทุนต้องไปกู้เงินมาหมุนเวียน
“กู้หนี้นอกระบบมา 4 หมื่น ต้องส่งรายวัน วันละ 4 พัน และไหนจะต้องส่งแชร์ อื่นๆ อีกจิปาถะ จนหนี้กลายเป็นดินพอกหางหมู แก๊งหมวกกันน็อกตามทวงประจานถึงที่ทำงานจนถูกไล่ออก ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ บางวันหนูหลบไม่พ้นก็ถูกตบจนคิ้วแตก และคนในครอบครัวเดือดร้อนไปด้วย แถมลูกสาวก็มาป่วย ต้องใช้เงินวิ่งหาหมอประจำ หันไปทางไหนก็อับจนหนทาง”
วันหนึ่ง ยายวรรณ ญาติสามีใหม่ของยายที่อาศัยอยู่ใกล้กันและหนูเห็นแกมาตั้งแต่เด็ก ได้มาชักชวนให้ไปทำงานนวดที่ต่างประเทศ บอกว่ารายได้ดี ไปทำแล้วจะได้มีเงินไปใช้หนี้เลี้ยงลูกและครอบครัว ทีแรกหนูก็ไม่เชื่อเพราะเห็นข่าวผู้หญิงถูกหลอกไปขายตัวเป็นประจำ แต่ยายวรรณบอกว่าจะติดต่อเพื่อนให้ เขาส่งผู้หญิงไปทำงานต่างประเทศได้ดีทุกคน
จากนั้นหนูก็ติดต่อกับนางดา ที่ยายวรรณแนะนำให้ทางเฟซบุ๊ก นางดาบอกว่าให้หนูไปทำงานนวดนวดสปาที่ดูไบ และยืนยันว่าไปทำงานนวด คนที่ไม่อยากค้าประเวณีก็ไม่มีใครบังคับ หลังคุยกันวันเดียว นางดาก็ให้หนูไปทำพาสปอร์ตและซื้อตั๋วเครื่องบินให้โดยที่หนูไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย ก่อนจะบินวันที่ 20 ธ.ค.63 นางดาบอกว่าหนูเป็นหนี้อยู่ 1.2 แสนบาท ไปทำงานแล้วค่อยหักใช้หนี้
และพอไปถึงสนามบิน หนูก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล เพราะเจอผู้หญิงอีก 3 คน ที่จะบินไปพร้อมกัน แถมตั๋วเครื่องบินยังระบุเป็นประเทศบาห์เรน แทนที่จะเป็นดูไบ ตามที่นางดาบอกทีแรก พอหนูถามไป นางดากลับบอกว่าตอนนี้หมอนวดที่บาห์เรนขาดคนให้ไปช่วยที่นั่นก่อน ไปที่ไหนก็เหมือนกัน อดทนหน่อยก็เก็บเงินกลับบ้านได้!!
เมื่อไปถึงสนามบินมานามา มีชายคนหนึ่งมารับหนูกับสาวไทยอีกคน นั่งรถไปที่ตึกแห่งหนึ่งบอกว่าเป็นร้านนวด ซึ่งหนูก็ไม่ทราบว่าที่ไหน จากนั้นคนดูแลร้านชื่อ นางปุ๋ย แม่แท็ก ก็ได้ยึดพาสปอร์ตของหนูไป และมาม่าซังชื่อ นางหญิง ก็บอกกับหนูว่าอยู่ที่นี่ต้องขายตัวทุกคน หนูจึงรู้ว่าถูกหลอกแน่แล้ว ไม่ได้เป็นเหมือนที่ยายวรรณและนางดาบอกไว้
ที่นั่นมีหญิงไทยอยู่กันนับสิบคน นอนรวมกันห้องละ 4-5 คน ที่ชั้นบนสุด มาม่าซังให้หนูแต่งชุดโป๊ๆ จับถ่ายรูปและนำไปลงแอพพลิเคชั่นให้ลูกค้าเลือกซื้อบริการ เมื่อหนูไม่ยอมก็ถูกซ้อมทำร้ายร่างกาย ขังอยู่ในห้องให้อดข้าว และข่มขู่ว่าจะจับโยนลงจากตึกให้ตาย หนูทนอยู่ได้ไม่กี่วันเพราะความหิว จึงต้องแกล้งทำเป็นยอม และอ้อนวอนแม่แท็กว่าจะไม่ขัดขืนอีก!!
“ผู้หญิงที่อยู่ที่นั่นทุกคนต้องรับแขกตลอด 24 ชั่วโมง ขัดขืนไม่ได้ แต่ละครั้งจะได้เงินเพียง 150–300 บาทเท่านั้น ผู้หญิงบางคนต้องรับแขกเป็นสิบรายต่อวัน เพื่อหวังหาเงินใช้หนี้แม่แท็กให้หมด จะได้มีเงินเก็บกลับบ้าน
ต้องเจอกับลูกค้าผู้ชายหื่นกามหลายรูปแบบ บางคนก็ดี บางคนก็ซาดิสต์ บางคนก็ทุบตีใช้กำลังข่มขืนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อีกทั้งไม่ใส่ถุงยางป้องกันจนต้องติดโรคร้าย ซึ่งผู้หญิงทุกคนต้องจำใจเพราะเป็นทางเดียวที่จะหาเงินกลับไปตั้งหลักที่บ้านเกิด”
หลายคนเคยคิดหนีหรือขอความช่วยเหลือจากช่องทางต่างๆ รวมทั้งตัวหนูเองก็เช่นกัน พอวิ่งออกจากตึกนรกนั่นไปได้ไม่ไกล ก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์จับตัวกลับมาและซ้อมจนน่วม ยังดีที่ไม่ถึงตาย เพราะรู้มาว่า เคยมีผู้หญิงไทยถูกจับโยนจากตึกในบาห์เรนเสียชีวิตมาแล้ว
ช่วงแรกถูกย้ายไปมาหลายร้าน หนูจึงต้องแกล้งยอมศิโรราบเพื่อให้ได้อยู่ร้านเดิม และได้แชตคุยกับน้องสะใภ้ให้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ ในคืนวันที่ 8 ม.ค.64 พอวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ ติดต่อมาขอรายละเอียดให้แชร์โลเคชั่น ถ่ายรูปตึกที่อยู่ส่งไปให้ ทีแรกหนูก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะถูกขังอยู่แต่ในห้อง เวลาคุยกับเจ้าหน้าที่ทุกครั้งก็ต้องลบแชตเพราะแม่แท็กจะเอาโทรศัพท์มือถือไปดูกลัวว่าจะถูกจับได้
โชคดีที่หนุ่มบาห์เรนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกค้าประจำของเพื่อนหญิงไทย ได้ช่วยถ่ายรูปหน้าตึกและส่งรูปมาให้ ทำให้หนูมีรูปส่งให้เจ้าหน้าที่ จากนั้นทางมูลนิธิปวีณาฯ ได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยในบาห์เรนก็ติดต่อหนูและส่งตำรวจเข้ามาช่วยเหลือจนออกไปได้
ขณะเดียวกันตำรวจบาห์เรนได้จับแม่แท็ก มาม่าซัง และหนุ่มบาห์เรนสามีเจ้าของร้านไปดำเนินคดี ซึ่งทางการบาห์เรนใช้เวลาในการสอบสวนดำเนินคดีประมาณ 1 เดือนเศษ ก็ให้หนูเดินทางกลับประเทศไทยได้ในคืนวันที่ 28 ก.พ.64 พร้อมมอบเงินเยียวยาให้ประมาณ 1 แสนบาท และหนูก็ซื้อตั๋วเครื่องบินไป 2 หมื่นกว่าบาท และได้บินกลับถึงเมืองไทยในวันที่ 1 มี.ค.64
“เมื่อลงจากเครื่องบิน เท้าแตะผืนแผ่นดินเกิด หนูคิดอย่างเดียวว่า แม่ ยาย และลูกหนูรออยู่ที่บ้าน หนูคิดว่าเรื่องร้ายๆ จะผ่านพ้นไปจากชีวิต แต่เรื่องกลับไม่จบแค่นั้น หนูเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอีกเป็นครั้งที่สอง..”
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตาม “นรกบาห์เรน” EP.2 ตอนจบ วันอาทิตย์ที่ 31 ต.ค.นี้
คอลัมน์ : นิยายชีวิต โดย : อสงไขย
แนะนำเรื่องราวชีวิตดั่งนิยาย หรือสอบถามได้ที่ [email protected]