การเสียชีวิตที่เกิดจากความล้มเหลวของรัฐบาลอังกฤษ กลายเป็นประเด็นคำถามไปถึงคำแนะนำทางวิชาการ สะท้อนออกมาจนถึงระดับอันตราย ที่เกิดจากการตัดสินใจของกลุ่มคณะ ย้อนแย้งไปกับมาตรการเชิงรุก ในยุทธศาสตร์การรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ประกาศใช้ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กล่าวได้ว่าควบคุมการแพร่ระบาดได้ในระดับหนึ่ง

แต่นั่นก็เป็นความเสี่ยง ของสำนักงานบริการสาธารณสุขแห่งชาติของอังกฤษ ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้น จนนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษจากพรรคอนุรักษนิยม ตัดสินใจใช้คำสั่งล็อกดาวน์ ช่วงปลายเดือนมี.ค. ปีที่แล้ว

Channel 4 News

รายงานร่วมของคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์และสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ ระบุว่า การตัดสินใจใช้คำสั่งล็อกดาวน์และรักษาระยะห่างทางสังคม ในช่วงแรกของการแพร่ระบาด และคำแนะนำเพื่อล็อกดาวน์ ถือเป็นอีกหนึ่งความล้มเหลวครั้งสำคัญด้านสาธารณสุขในสหราชอาณาจักร แม้จะเจ็บปวด แต่สหราชอาณาจักรควรเรียนรู้ไว้ ว่าทำไมจึงเกิดขึ้นได้ ถ้าเราแน่ใจแล้วว่า มันจะไม่เกิดซ้ำขึ้นมาอีก

รายงานบอกว่า ที่ต้องมีการตรวจสอบเรื่องนี้ก็เพื่อหาเหตุผลว่า ทำไมสหราชอาณาจักรถึงได้ทำอะไรได้เลวร้ายมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในช่วงแรกของการแพร่ระบาด ซึ่งสหราชอาณาจักรพบผู้ป่วยแล้วเสียชีวิตเพราะไวรัสโควิด-19 มากกว่า 137,000 ศพ มากที่สุดในยุโรป เป็นรองแค่รัสเซีย

แต่เจ้าหน้าที่รัฐยืนยันว่า สิ่งที่ได้ลงมือทำไปตอนนั้น เพราะมีข้อมูลอยู่แค่นั้นในช่วงเวลาวิกฤต โดยสตีเฟน บาร์เคลย์ รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลอังกฤษบอกว่า นี่คือการระบาดใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เราก็ได้เรียนรู้สิ่งที่ผ่านมา และเข้าใจถึงปัญหาหลังจากเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว ได้รู้ถึงสิ่งที่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร

ครอบครัวของผู้สูญเสียต่างมีความเห็นต่อรายงานดังกล่าว ด้วยความไม่พอใจและโกรธแค้นว่า คนที่ตายไปนั้นแทบจะไม่กล่าวถึงในรายงานความยาว 150 หน้าเลย คณะกรรมาธิการร่วมสนใจแต่พูดถึงเพื่อนร่วมงานและเพื่อน โดยฮันนาห์ แบรดี้ โฆษกของกลุ่มครอบครัวผู้สูญเสียจากโควิด-19 ที่ได้ร้องขอความยุติธรรมบอกว่า รายงานสนใจแต่เรื่องข้อขัดแย้งทางการเมือง และทำออกมาได้น่าขัน นี่คือความพยายามที่จะเพิกเฉย และจัดฉากให้รู้สึกว่าสิ่งที่เราเข้าใจนั้นผิด

รายงานเผยแพร่ในช่วงที่จะมีการสอบสวนอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับมาตรการรับมือของภาครัฐ กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน บอกว่า การสอบสวนจะเริ่มในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

รายงานอาศัยคำให้การของพยาน 50 ปาก รวมถึงอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข แมตต์ แฮนค็อก และนายโดมินิก คัมมิงส์ อดีตที่ปรึกษาของจอห์นสัน ได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ จากส.ส. 22 คนจากสามพรรคใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร คือพรรคอนุรักษนิยมพรรครัฐบาล พรรคแรงงานพรรคฝ่ายค้าน และพรรคชาตินิยมสกอตติช

อย่างไรก็ตาม รายงานได้ชื่นชมการตัดสินใจของรัฐบาล ที่สั่งการให้มุ่งให้ความสำคัญอันดับแรกกับเรื่องของวัคซีน ว่าเป็นมาตรการพื้นฐานของการหยุดยั้งการแพร่ระบาด และลงทุนในด้านการพัฒนาวัคซีน ทำให้ขณะนี้อังกฤษประสบผลสำเร็จ ในโครงการจัดฉีดวัคซีน ทำให้เกือบ 80% แล้วของประชากรอายุ 12 ปีขึ้นไป ได้รับวัคซีนครบสองเข็มแล้ว หลายล้านคนได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้ เพราะความพยายามจัดฉีดวัคซีนในสหราชอาณาจักร ถือว่ามีส่วนสำคัญยิ่ง แต่ก็ยังไปวิพากษ์วิจารณ์มาตรการตรวจหาเชื้อ และระบบติดตามตัวว่ายังทำได้ล่าช้า ไม่แน่นอน กระทบต่อมาตรการรับมือของรัฐ

มาตรการของรัฐในช่วงสามเดือนแรกต่อวิกฤติที่เกิดขึ้น ได้ทำตามคำแนะนำทางวิชาการ ซึ่งการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการตรวจคัดกรองยังมีข้อจำกัด และตอนนั้นยังไม่มีวี่แววเรื่องวัคซีน และความเชื่อของคนส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับการล็อกดาวน์.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AP