นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลก โจเซฟ สติกลิตซ์ (Joseph Stiglitz) เจ้าของรางวัลโนเบลปี 2001 ชาวอเมริกัน รับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษในงานเสวนา ซึ่งจัดร่วมกันระหว่าง School of Public and International Affairs แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และมหาวิทยาลัยสยาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ สติกลิตซ์ ได้เสนอแนวคิดสำคัญที่เป็นแนวทางของเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ว่า หัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต ต้องให้ความสำคัญกับเสรีภาพอย่างมีมนุษยธรรม

กรอบความคิดใหม่เกี่ยวกับเสรีภาพ และบทบาทของรัฐในสังคมศตวรรษที่ 21 เป็นวิธีการประเมินเสรีภาพที่ลึกซึ้งกว่า และมีมนุษยธรรมมากขึ้น” สติกลิตซ์ ย้ำและว่า“หากเราต้องการสร้างสังคมแห่งนวัตกรรมที่ทุกคนสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ ภารกิจนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน และผู้ที่ยึดมั่นในอุดมคติของอเมริกา ในระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่มอบความเป็นอยู่ที่ดี โอกาส และเสรีภาพที่มีความหมายกับทุกคน นับเป็นทิศทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ของโลก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก และแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สติกลิตซ์ ให้ความเห็นว่า“อัตราการเติบโตเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะชะลอตัวเล็กน้อยในปี 2568 อัตราการว่างงานกำลังปรับตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงทำให้ผ่อนคลายนโยบายการเงิน ส่งผลให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกบางประเทศ สามารถดำเนินนโยบายทางการเงินที่คล้ายกันได้นอกจากนี้ความเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาจเกิดขึ้นได้จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเพิ่มขึ้นของนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศในภูมิภาคนี้ จึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังผลกระทบจากความผันผวนของตลาด และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

สติกลิตซ์ ย้ำว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเปราะบาง ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจต่างประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ยังคงมีความไม่แน่นอน ในขณะที่ตลาดการเงินยังคงขาดเสถียรภาพ ต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เขายังกล่าวถึงหลายประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงผลกระทบของนโยบายการเงิน การเมือง สิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม และการศึกษาอย่างเจาะลึก

ประชานิยมพิษร้ายทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเดบลปี 2001 อดีตประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของสหรัฐ ในรัฐบาลของบิล คลินตัน (ปี 1995 -1997) ยังได้วิพากย์นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐ โดยระบุว่า ระบบเศรษฐกิจของอเมริกาในปัจจุบัน และอุดมการณ์ทางการเมืองที่สร้างระบบดังกล่าวขึ้นมา ถือเป็นความล้มเหลวคู่ขนานของทั้งสองระบบ ด้วยตลาดที่ ‘เสรี’ โดยไม่มีการควบคุมที่ดีพอ ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ มากมาย ทั้ง วิกฤตการณ์ทางการเงิน และวิกฤตการณ์ความไม่เท่าเทียมกัน ตลาดเสรีที่ไร้การควบคุมนั้นเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งความล้มเหลวดังกล่าวได้หล่อเลี้ยง “ขบวนการประชานิยมที่กลายเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อเสรีภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง

เริ่มจาก ข้อวิพากย์ด้านนโยบายการเงิน สติกลิตซ์ ย้ำว่าการเน้นลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว อาจเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มนักลงทุนและสถาบันการเงิน แต่ไม่ช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในชนบทหรือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง การใช้นโยบายการเงินอย่างรอบคอบ จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง และการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจนั้น ควรใช้นโยบายที่เข้าถึงทุกคนในสังคม ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มที่มีฐานะดี

ด้านสิ่งแวดล้อมทางการเมืองและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ จะเห็นว่านักการเมืองและกลุ่มธุรกิจมีอิทธิพลในการกำหนดนโยบาย ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ จึงต้องมีการเรียกร้องให้เสริมสร้างความโปร่งใส และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการตัดสินใจทางนโยบาย ด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคม มีการเรียกร้องให้ออกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ดี ซึ่งหากทั้งสองอย่างนี้เป็นไปตามทิศทางเดียวกัน จะทำให้เกิดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ดี ยังคงมี ปัญความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำลังทวีความรุนแรงในประเทศไทย โดยการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ ทำให้ชนบทขาดโอกาสและทรัพยากรที่จำเป็น ซึ่งก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น การศึกษา สาธารณสุข และการจ้างงาน ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ควรเน้นการกระจายโอกาสให้กับคนในชนบท ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอาชีพ และการส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสที่เท่าเทียมกัน

การศึกษาเท่าเทียมกุญแจสำคัญ ด้านการศึกษา สติกลิตซ์ ย้ำว่าเป็นกุญแจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งการศึกษาต้องลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในสังคม ‘การศึกษาคือเครื่องมือที่สำคัญที่สุด ในการพัฒนาสังคมที่เป็นธรรมเขาอธิบายและว่า แนวโน้มสำคัญของโลกในปัจจุบันว่า “ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมกำลังเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นทั่วโลก อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่าง ๆ” ดังนั้น รัฐควรเร่งส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประชากรที่ด้อยโอกาส และควรจะให้มีการลงทุนในระบบการศึกษา เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพในทุกพื้นที่ ทั้งในเมืองและชนบท เพื่อสร้างฐานความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การศึกษาที่ดีและเท่าเทียมจะทำให้ทุกคนมีโอกาสได้เข้าถึงทรัพยากร และโอกาสในการพัฒนาตนเอง ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของคนรุ่นใหม่ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก แต่จะมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ดีขึ้นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้น ความเท่าเทียมในการศึกษาคือกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและมั่นคงสำหรับทุกประเทศ

นอกจากเป็นศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ สติกลิตช์ ยังเป็นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลกระหว่างปี 2540 – 2543 หลังจากนั้นผันมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียตั้งแต่ปี 2543 ถึงปัจจุบัน ดังนั้นแนวคิดและมุมมองด้านเศรษฐศาสตร์ของเขาเป็นที่ยอมรับในฐานะนักเศรษฐศาสตร์แถวหน้าของโลก เนื้อหาและมุมมองทางเศรษฐกิจเหล่านี้ถูกรวบรวมไว้ในหนังสือเล่มใหม่ของเขาที่ชื่อว่า ’ The Road to Freedom: Economics and the Good Society ’ ซึ่งกล่าวถึงเส้นทางสู่อิสรภาพกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างสังคมที่ดี เป็นการวิจารณ์ระบบทุนนิยม เสรีนิยมใหม่ และเสนอให้พัฒนาไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน

มุมมองดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านเวทีเสวนาในกรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร. จอมพงศ์ มงคลวนิช รองอธิการบดี และคณบดีบัณฑิตวิทยาลัยสาขาธุรกิจ มหาวิทยาลัยสยาม ซึ่งเป็นศิษย์เก่าของศาสตราจารย์สติกลิตซ์ เป็นผู้สัมภาษณ์และอภิปรายร่วมกับศิษย์เก่าผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น ดร. ปรเมธี วิมลศิริ ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย, ปิยบุตร ชลวิจารณ์ ประธานมูลนิธิคีนันแห่งเอเชีย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, สุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนและการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่เมืองและชนบทในประเทศไทย

สติกลิตซ์ ยังได้วิพากษ์ระบบทุนนิยมในปัจจุบันว่า เป็นระบบที่ไม่สามารถสร้างอิสรภาพและความมั่งคั่งที่แท้จริงให้กับทุกคน และยังสร้างความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ การทำลายสิ่งแวดล้อม และความไม่มั่นคงทางสังคม เขาเสนอว่ามาตรการทางเศรษฐกิจ ควรมุ่งเน้นที่ความเท่าเทียม ความยั่งยืน และความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน มากกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการเติบโต ที่มักนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ

รัฐบาลต้องมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาการทำงานที่ล้มเหลวของตลาดเสรี และนำนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ในสังคมมาใช้ โดยไม่ปล่อยให้อิสรภาพของคนส่วนน้อยที่ได้ประโยชน์จากโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม มากำหนดอิสรภาพของคนส่วนใหญ่” สติกลิตซ์ ยังเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจในระดับโลก โดยนำตัวอย่างจากประเทศที่มีความเป็นธรรมทางสังคมมากกว่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสมดุลระหว่างอิสรภาพและการควบคุม

รองศาสตราจารย์ ดร. จอมพงศ์ มงคลวนิช กล่าวปิดท้ายว่า “การศึกษาเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอิสรภาพและโอกาสที่เท่าเทียม การลงทุนในระบบการศึกษาที่เน้นคุณภาพและความเท่าเทียมจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และยังเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก ดังนั้นความสำคัญของการส่งเสริมการศึกษาในยุคนี้ จำเป็นต้องเน้นย้ำด้านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน เชื่อมต่อความรู้สู่ทุกคนในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือชนบท เพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างครอบคลุมและยั่งยืน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่มั่นคงสำหรับทุกประเทศ