รู้แต่ว่าเห็นขึ้นบิลบอร์ดรูปดาราห้าหกคนเรียงกัน อาจมีคนหน้าแปลกอยู่ตรงกลางคนนึง หน้าแปลกเพราะไม่ใช่ดารา เคยถามคนรู้จักตอนนั่งรถผ่าน เขาชะโงกมองแล้วสงสัยว่าเครื่องสำอางหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรกันมาก แล้วอยู่ๆ ก็ตู้ม!! เสียงร้องเรียนดังทั่วเมือง ว่าธุรกิจตัวนี้หลอกลวงให้คนมาสมัคร ซื้อของเป็นแสนมาสต๊อก ปรากฏว่า สินค้าพวกนี้ขายไม่ได้เพราะไม่มีใครรู้จัก บลาๆ

ถามว่าหลอกลวงจริงหรือไม่ ? ต้องตอบว่า อย่าไปด่วนฟันธงอย่างนั้น ให้รอคำพิพากษาของศาลให้ชัดเจนก่อน คาดว่า ถ้าเป็นการหลอกลวงจริง และผู้เสียหายจำนวนมากจริง ก็ไม่น่าจะใช้เวลาพิจารณายาวนาน เว้นแต่ว่า ฝ่ายจำเลยได้ทนายแบบเขี้ยวๆ ก็คงสู้ยิบตาเหมือนกัน เรียกเอกสารหลักฐานอะไรให้มั่ว…อย่างไรก็ตาม ความสะดวกในโลกโซเชี่ยลคือ การมี “นักขุด” ที่ไล่เก็บหลักฐานย้อนหลัง ทั้งคลิป ทั้งเสียง ทั้งโพสต์ ซึ่งเอาจริงนักขุดชาวเน็ตเผลอๆ ทำงานละเอียดยิบกว่าตำรวจอีก พวกเพจต่างๆ หลายเพจก็หยิบยกมาเล่น เรียกว่าเป็นการประสานสามัคคีระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวเน็ตกันเลยทีเดียว แสดงว่า น่าจะมีคนเห็นความไม่ชอบมาพากลเยอะ

และคิดว่า สิ่งที่เขาเห็นกันเยอะ คือ “มันไม่มีความเป็นธรรมกับผู้ถูกชักชวนไปลงทุน”  มี “หลายชีวิต” ที่เปิดเผยเหตุการณ์หลังไปร่วมลงทุน ต้องกู้หนี้ยืมสินลำบาก บางคนเสียเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต บางคนเอาของมาสต๊อกแล้วขายไม่ได้ เงินไม่หมุนเวียน ก็ฆ่าตัวตาย บางคนเอาเงินเกษียณมาลงทุนเพื่อหวังให้มันงอกเงย ก็กลายเป็นสูญเปล่า ..ฟังจากรายการทีวีโหนกระแส บางคนเสียหายเป็นสิบล้าน เพราะถูกกระตุ้นให้ลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ ..เรื่องหวานลมปากเนี่ยอย่าดูถูกไปว่า คนหลงจะโง่ไปเสียหมด แต่มันมีตัวแปรอะไรที่ทำให้เกิดการหลงเชื่อในขณะนั้น

เมื่อพูดถึงเรื่อง “ชวนกันมาได้อย่างไร”  ถ้าเป็นกรณีมิจฉาชีพ ก็ขอยกตัวอย่างแชร์ลูกโซ่เครื่องประดับเจ้าหนึ่งที่ล้มไปร่วม 20 ปีแล้ว สินค้าพวกนี้จะแสดงภาพของผู้ร่วมทีมมีเงินใช้ ชีวิตหรูเป็นอันดับแรกสำหรับการล่อแมงเม่า ซึ่งอย่างที่บอก คือ 20 ปีก่อน อินเทอร์เนตอะไรมันก็ยังไม่เฟื่องฟูที่จะตรวจสอบได้ว่า มีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ .. ในกลุ่มลูกทีมฐานแรก ก็จะให้ผลประโยชน์เต็มอารมณ์ผู้ร่วมก่อตั้ง ให้ไปโฆษณา “สนใจทำธุรกิจหรือไม่”  ตั้งบริษัทเปิดชื่อที่ปรึกษามีทหารตำรวจให้ดูน่าเชื่อถือ  ซึ่งไม่รู้เอาชื่อเขามาแอบอ้างหรือไม่ ..แล้วก็มีสโลแกนว่า “ให้เงินทำงานแทนเรา”  โดยบอกว่า ลักษณะธุรกิจเป็นพิระมิด

Successful business team is clapping their hands Asian businesspeople celebration during meeting
ภาพ : freepik

บอกว่า “ได้ตัวเครื่องประดับมาจากแหล่งราคาถูก” แล้วให้ไปปล่อยขาย  ยุให้คนที่ซื้อเข้ามาร่วมทำธุรกิจด้วยกัน วาดผังให้ดูว่า มันทำรายได้แบบพิระมิด คือกำไรจะส่งต่อขึ้นมาจากดาวน์ไลน์เป็นทอด ๆ ยิ่งได้ดาวไลน์ลึกลงไปเท่าไร การส่งต่อผลกำไรก็ขึ้นมามากขึ้น จนสุดท้ายระดับยอดพิระมิดก็ไม่ต้องออกทำงานเอง อยู่เฉยๆ ก็มีเงินหลักหมื่นหลักแสนเข้ารายเดือน .. คือฟัง เขาจะพยายามเน้นว่า  “เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ไม่ต้องทำงานเอง รอเก็บผลกำไร” ก็ทำให้หลายคนตาลุกแล้ว และเผลอตอบรับร่วมลงทุนไป จ่ายเงินซื้อของไป โดยลืมคิดไปเลยว่า “ไอ้ของที่ว่านั้นขายได้หรือเปล่า?”

สิ่งหนึ่งที่แม่ข่ายมักจะบอกคือ “ฉันไม่ทิ้งเธอหรอก จะหาคนมาช่วยต่อขาพิระมิดให้คนลงทุน” ..แต่เอาเข้าจริง แม่ข่ายบางคนยังหาฐานตัวเองไม่ครบ ..อธิบายง่ายๆ คือ สมมุติว่า แม่ข่ายเป็นยอดพิระมิด มันต้องใช้พิระมิดเล็กสี่ถึงห้าตัวในการเป็นฐานให้แม่ข่าย ..ก็กลายเป็นว่า คนที่ถูกชวนกลายเป็นหนึ่งในพิระมิดที่ไปต่อขาแม่ข่าย = จ่ายเงินให้แม่ข่าย..และแม่ข่ายก็มักจะทำมึนว่า เคยพูดอะไรไว้ ( ต่อไปใครไปฟังขายตรงคงต้องบันทึกเทปไว้เป็นหลักฐาน ) ปล่อยให้คนลงทุนไปหาลูกข่ายเอง..แล้วเมื่อนั้นตาจะเริ่มสว่างว่า ของมันไม่ได้ขายง่ายๆ ราคาก็แพง จะได้เงินอย่างที่บอกต้องหาคนมาต่อขา  แต่แค่เปิดบิลก็ยากแล้ว ..ถ้าขายเป็นชิ้นๆ ไม่หาขามาต่อล่างพิระมิด ก็ไม่ได้กำไร

และที่แสบคือ มันจะหลอกให้ลูกข่ายฝันถึง “วันที่ดีกว่า” ไปเรื่อย โดยถึงขายไม่ได้ก็เจียดปันผลให้บ้าง และบอกว่า ถ้าหาลูกข่ายได้ส่วนแบ่งจะเยอะขึ้นแน่นอน ..พร้อมย้ำชุดคำพูดเดิม ว่า ถ้าหาคนมาต่อขาได้เรื่อยๆ วันหนึ่งก็แค่นอนรอรับเงินปันผลไม่ต้องทำงาน ..แต่จริงๆ แล้ว เงินปันผลที่จ่ายก็เอาเงินจากคนที่หลงเชื่อมาหมุน ..ซึ่งถ้าลูกข่ายบางคนไหวตัวทันก็เสียน้อย รีบถอนตัวออกมา แต่บางคนก็ยังกัดฟันหาขามาต่อ เพื่อวันที่จะได้เงินมากกว่าเดิม .. จนถึงเวลาจวนตัว ผู้เสียหายเคลื่อนไหวกดดันแม่ข่ายมากๆ แม่ข่ายก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไปใช้เบอร์อื่น ( สมัย 20 ปีก่อนมือถือไม่ได้ทำได้สารพัดขนาดนี้ ) เมื่อไปร้องเรียนแจ้งความ เผลอๆ ยอดสุดของพิระมิดมันขนเงินหนีไปแล้ว  ถ้าเหยื่อโชคดี “ยอดพิระมิด”ก็ถูกจับได้

แล้วทำไมถึงโดนหลอก ? อันดับแรก คือความไว้ใจต่อคนที่มาชวน เผลอๆ อาจเป็นคนกันเองรอบๆ ตัว เช่นเป็นเพื่อน เคยเรียนในโรงเรียนเดียวกัน ญาติห่างๆ คนรู้จัก ป้าข้างบ้านฯลฯ พวกนี้ก็จะตอแหลเหลี่ยมจัด ( ไม่อยากใช้คำว่าจิตวิทยาสูง เพราะคำๆ นี้ควรหมายถึงนักจิตวิทยาเก่งๆ ) มาทำดีด้วยโน่นนี่ แต่ยังไม่อวดรวยให้ดูก่อน ..พอสักพัก ก็ทำให้เราเกรงใจ แล้วเขาก็จะหลอกไปฟังไอ้เรื่องขายฝันอะไรแบบนี้ แล้วก็มีคนมาพูดถึงความสำเร็จในการขาย สูตรหนึ่งที่ใช้ คือ “ไม่เคยเชื่อในธุรกิจแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อลองมาทำเองก็พบว่า มันไม่เหมือนกับที่คิด มันมีประโยชน์ต่างๆ บลาๆ และมันจะให้เงินทำงานแทนเรา ถึงจุดหนึ่งก็รอรับผลประโยชน์สวยๆ”

asian worker team casual think
ภาพ : freepik

ในงาน เหยื่อก็จะถูกประกบหน้าประกบหลังโดยมิจจี้ ( เดี๋ยวนี้เขาเรียกมิจฉาชีพกันน่าเอ็นดูแบบนี้ ) พอเลิกงาน ก็ต้อนไปฟังต่อและเซ้าซี้ให้ลงทุน มิจจี้ก็จะใช้ทั้งไม้นวม ไม้แข็ง โดยมีอีคนชวนเรามาคอยยุอยู่ห่างๆ กดดันให้สมัคร พยายามชี้แจงข้อดีโน่นนี่จนกว่าจะสมัครสมาชิกหรือเปิดบิลได้ ไม่มีเงินให้กู้เดี๋ยวนั้น ..แล้วหลังจากนั้น อีคนที่บอกว่าจะช่วยหาคนมาต่อขาก็หาย..บอกว่ายุ่งหาในส่วนของตัวเอง คนลงทุนไปก็ช้ำ เพราะค่าเปิดบิลทีขั้นต่ำครึ่งแสน ( ต่อไปใครโดนหลอกน่าจะบอกว่า ขอยืมเงินแม่ข่าย  แม่ข่ายต้องรับผิดชอบถ้าขายไม่ได้ในฐานะที่ชวนมา  ..ถ้ามีปัญหาก็หายกัน )   

ที่เล่ามาคือแชร์ลูกโซ่เครื่องประดับเจ้าหนึ่ง ..แต่ในวันนี้ พัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้พวกทำขายตรงเพิ่มการใช้พรีเซนเตอร์มาร่วมด้วย สินค้าขายตรงที่ได้รับความนิยมมากคืออาหารเสริมเพื่อความงาม อาหารเสริมลดความอ้วน ที่เห็นขายๆ กันมากก็คอลลาเจน ช่วยให้ผิวเต่งตึง กลูตาไธโอน เพื่อช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส อาหารเสริมลดความอ้วน ซึ่งไฟเบอร์ช่วยการขับถ่ายก็น่าจะอยู่ในหมวดนี้ด้วย

สินค้าความงามได้รับความนิยมมากในยุคนี้ เพราะมันเป็นยุคที่ให้สำคัญกับเปลือก “เปลือก” ที่สวยงามย่อมนำผลประโยชน์มาให้มาก อย่างที่เราเคยได้ยินความจริงที่น่ารังเกียจ ( the ugly truth ) ว่า “โลกจะใจดีกับคนหน้าตาดีเสมอ” ประกอบกับวิธีคิดในโลกทุนนิยม คือ “ต้องมั่งมีเขาเชิดชูบูชา” การใช้อาหารเสริมบวกศัลยกรรมดูจะเป็นทางลัดที่ง่ายที่สุด และปัจจุบัน ก็มีพวกดารานักร้องนักแสดงเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ด้วย ..ซึ่งดาราเป็นพวกที่มีต้นทุนทางสังคมสูง และดาราหลายๆ คนชอบสร้างภาพหรูดูดีมีเงินใช้ อย่างเช่น ดาราสาวที่เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าที่ฮือฮาอยู่ขณะนี้ ก็เคยโพสต์รูปซื้อสินค้า Hermes ( ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แพงหูดับ ) จนเต็มห้อง น่าจะหลายล้านไม่รวยซื้อไม่ได้  ..แรกๆ ก็มีคนไปอิจฉากันใหญ่ ชื่นชม จนมีไอ้เข้ขวางคลองว่า “หล่อนจ่ายภาษีนำเข้าหรือยัง ?” ทัวร์ก็เลยลงซะจนต้องลบรูปทิ้ง

รายการทีวีหลายรายการ หรือสื่ออื่นๆ ก็ชอบทำคอนเทนท์ดาราอวดรวย คนยิ่งอยากได้ชีวิตแบบนั้นบ้าง ..ขณะที่การจ้างงานในวงการบันเทิงบ้านเราลดน้อยลง เนื่องจากฟองสบู่ดิจิทัล ที่ทำหลายช่องเละเป็นโกโก้ครันช์ คือหาเงินมาหมุนผลิตละครไม่ทัน ประกอบกับคนไปเสพเนื้อหาจากสื่อใหม่อย่างสตีมมิ่ง หรือกระทั่งดูรายการของยูทูปเปอร์ ติ๊กต่อกเกอร์ ..สินค้าก็ไปจ้างพวกนี้แทนจ้างดารามาเป็นพรีเซนเตอร์ .. ดาราหลายคนเลยหายๆ ไปจากหน้าจอ ก็ไปรับงานอื่นบ้าง เช่น รีวิวเกม รับงานโฆษณา รีวิวสินค้าโพสต์ลงพื้นที่โซเชี่ยลฯ ของตัวเอง หรือทำผลิตภัณฑ์ “เพื่อสุขภาพ” ของตัวเองออกมาขาย ก็เป็นการเอาตัวรอดในวิถีของแต่ละคน มีต้นทุนด้านหล่อสวย ขายอาหารเสริมก็ดูเป็นทางเลือกที่ดี

Business concept with graphic holography
ภาพ : freepik

สังคมไทยให้มูลค่ากับ “ดารา” เยอะมาก ยิ่งระดับพระเอกนางเอก อดีตพระเอกนางเอก หรือพวกดาวค้างฟ้า บางคนก็ซื้อสินค้าเพราะเห็นว่า ดาราที่ชอบเป็นพรีเซนเตอร์ ..ก็คงอารมณ์คล้ายๆ กับหนังบางเรื่องมันไม่ตรงความชอบเราเลย แต่ดาราคนนี้เล่นเราก็จะดู … “คดีล่าสุด” ที่มีเรื่องขึ้นมา ก็มีส่วนหนึ่งซื้อเพราะดาราเป็นพรีเซนเตอร์ประเภท “ขึ้นเวทีไปโฆษณาชวนเชื่อเอง” คือไม่ใช้แค่เอาหน้ามาแปะกับกล่องผลิตภัณฑ์ ..และในห้องอบรมสัมมนาก็สร้างบรรยากาศให้พาไป คือจัดยังกะฮอลล์คอนเสิร์ต มีหน้าม้าหรือผู้ถูกสะกดจิตวี๊ดๆๆ เชียร์ตลอด มีทั้งเอาดราม่ามาเร้าอารมณ์ ทั้งปลุกใจให้ฮึกเหิม..เราจะรวยไปด้วยกันไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง..เผลอๆ บางคนยังไม่รู้เลยว่า ที่เขาชวนไปฟังนี่สินค้าคืออะไร

สาเหตุที่ต้องเปิดบิลราคาสูง ก็เพราะแม่ข่ายกล่อมเรื่องหนึ่ง วาดฝันถึงอนาคตดีๆ เรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะการเอาคนที่ประสบความสำเร็จ ( ไม่ทราบทำได้แบบสุจริตหรือเปล่า) มาเย้ายวนให้อยากมีแบบนั้นบ้าง แม่ข่ายก็กล่อมข้างๆ หูว่าจะรวยเร็วต้องรีบลงทุนเยอะ ..ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนลงทุนไป แต่มันก็เป็น ugly truth อีกล่ะ คือ “ทำเพราะความโลภ” อยากได้ใคร่มี เห็นคนนั้นคนนี้อวดรวยก็อยากได้บ้าง ..ผลที่กลับมาคือ พอเปิดบิลไปแพง ก็ได้ของมาสต๊อกเยอะ แต่ปัญหาคือ ไม่เคยทำการตลาด ผลิตภัณฑ์กาแฟลดน้ำหนัก เซรั่มหน้าใส คอลลาเจนผิวตึง ไม่ทราบมีกี่เจ้าในบ้านเรา ..การแชร์ตลาดสูง แล้วของก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักแพร่หลายเพราะไม่ on shelf ตามร้านสะดวกซื้อ

แต่เชื่อเถอะว่า เวลาที่จะตัดสินใจทำ คนเรามักจะมีเหตุผลเข้าข้างตัวเองเสมอ ทำให้ความคิดในขณะนั้นไม่ถ้วนถี่ แถมถูกปลุกใจด้วยคำประเภทคนอื่นทำได้คุณก็ทำได้ เลยลืมมองว่า “เราไม่ได้เป็นเหมือนเขา” คนที่ขายได้อาจเป็นคนมีผู้ติดตามในโซเชี่ยลมีเดียของตัวเองเยอะ….บางคนก็ใช้วิธีโชว์เนื้อหนังมังสาเรียกยอด follower ยอด view ( มีเสียงกระซิบมาว่าคนหล่อคนสวยที่ทำได้แบบนี้คือ ต้องเล่นมุขอ่อยให้คนอยากมีเพศสัมพันธ์ด้วยได้ ผู้ชายบางคนรีวิวคลินิกช็อคเวฟแบบโชว์อวัยวะเพศลง onlyfans ให้เลย ) คือหลายคนรับมาโดยยังไม่รู้ช่องทางขาย จะจ่ายเงินค่ายิงแอดกับเฟซบุ๊ก ติ๊กต่อก ยิงไปก็เท่านั้นโดนกด hide อีกเพราะคอนเทนท์โฆษณาไม่ดึงดูด

จะเอากลับมาขายคนรู้จัก เครือญาติตัวเองก็ลำบาก หลายครอบครัวไม่ได้กินอาหารเสริมพวกนี้ อยากลดความอ้วนเขาก็กินผักเอา อยากได้คอลลาเจนผิวก็กินคากิตีนหมูเอา ..ยังมีคนอีกมากมายคิดว่า “ไม่จำเป็นจะต้องกินอาหารเสริม” อีกทั้งมันก็เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย  …อาหารเสริมลดความอ้วนนี่มีหลายเจ้าด้วย ตรวจ อย.ผ่านแต่ก็ไม่รู้ว่า “จะมีล็อตที่ผสมไซบูทรามีนหรือไม่?” ขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณผู้ผลิต  ( ไซบูทรามีน จะยับยั้งการดูดซึมของสารซีโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินในสมอง ซึ่งเป็นสารควบคุมความอยากอาหารและความรู้สึกอิ่ม  และไซบูทรามีนยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายอีกด้วย แต่เป็นยาอันตรายที่กินแล้วถึงขั้นเสียชีวิตได้ ) ซึ่งการจะลงทุนอะไร สิ่งที่ต้องคิดคือ “เรามีพื้นที่ในการขาย มีกลุ่มเป้าหมายในการขายหรือไม่” อย่าหลงกลคำชวนประเภท “รับมาก่อนเดี๋ยวขายได้เอง”

และที่สำคัญ อย่าเคลิ้มไปกับคำเชิญชวนง่ายๆ อย่าเห็นแก่ความอยากได้อยากมี สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ยึดมั่นกับความคิด “เกียรติใดไม่น่านิยม เท่าชนะอารมณ์ของตัวเองได้นา” เริ่มจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ให้ไหลลงต่ำได้ก่อนก็ดี.

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่