เดือนพฤษภาคม 2564 พี่ชายของ ลอรา วินแฮม พบศพของเธอในสภาพแห้งกรังเหมือนมัมมี่และแทบจะเหลือแต่โครงกระดูกอยู่ภายในอพาร์ตเมนต์ของเธอเองในเมืองโวคิง มณฑลเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ หลังจากที่ครอบครัวของเธอร้องขอให้ตำรวจช่วยเปิดห้องพักของเธอเพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของเธอ

ผลจากการชันสูตรศพไม่สามารถชี้ชัดอย่างเป็นทางการได้ว่า สาเหตุการเสียชีวิตของวินแฮมคืออะไร รวมถึงไม่สามารถระบุช่วงเวลาการตายของเธอได้ แต่ปฏิทินที่อยู่ในอพาร์ตเมนต์ของเธอมีร่องรอยการขีดฆ่าครั้งสุดท้ายที่วันที่ 1 พ.ย. 2560

ข้อมูลนี้สร้างความตกใจและเศร้าสลดอย่างมากแก่ครอบครัวของเธอ และทำให้พวกเขาออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่หน่วยงานบริการสังคมและสุขภาพจิต โดยกล่าวหาว่าละทิ้งหญิงสาววัย 38 ปีรายนี้และปล่อยให้เธอเสียชีวิต ทั้งยังต้องใช้เวลานานถึง 4 ปี กว่าพวกเขาจะพบศพและรู้ว่าเธอตายไปแล้ว

หลังจากที่มีการร้องเรียนให้สอบสวนการทำงานของรัฐและมีการเปิดศาลรับพิจารณาเมื่อช่วงต้นเดือนต.ค.นี้เอง ดร. คาเรน เฮนเดอร์สัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายชันสูตรศพผู้รับผิดชอบกรณีของวินแฮมก็นำบันทึกส่วนตัวของผู้ตายออกมาอ่านต่อหน้าศาล เนื้อความในบันทึกยิ่งทำให้การตายของวินแฮมน่าสลดใจมากกว่าเดิม

ลอรา วินแฮม ผู้ป่วยจิตเวชที่เสียชีวิตอย่างน่าสลดใจโดยไม่มีใครรู้เห็น

วินแฮมเขียนในบันทึกว่าทั้งอาหารและเงินทองของเธอเหลืออยู่น้อยมากในช่วงปลายปี 2560 

ในบันทึกที่ลงวันที่ 28 ก.ย. 2560 เขียนไว้ว่า “มือถือของฉันพังเมื่อวันที่ 7 กันยายน ฉันโทรไปสั่งของที่เทสโกก่อนที่มันจะพัง ฉันใช้เวลาหลายสัปดาห์ให้ผ่านไปด้วยการนอน… ฉันไม่ได้ตุนอาหารไว้นานหลายเดือนแล้ว เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

ข้อความอื่นๆ ในบันทึกระบุว่าเธออยู่ได้ด้วยการกินมันฝรั่งและชีส และ “น้ำหนักตัวเหลืออยู่ประมาณ 5 ปอนด์ได้มั้ง” นอกจากนี้ยังมีบันทึกจากวันหนึ่งในเดือนต.ค. 2560 ระบุว่า “ผ่านไป 1 เดือนเต็มแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ฉันซื้ออาหาร ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะรอดมาได้นานขนาดนี้”

นอกเหนือจากข้อความในบันทึก ยังมีการให้รายละเอียดเกี่ยวกับปฏิทินที่พบในอพาร์ตเมนต์ของผู้ตายต่อหน้าศาลและสมาชิกครอบครัวทั้งสามคนของเธอ โดยชี้ว่าวันที่บนปฏิทินส่วนใหญ่โดยขีดฆ่าออกพร้อมกับมีข้อความสั้น ๆ กำกับจนกระทั่งมาถึงเดือนพฤศจิกายน 2560 ซึ่งไม่ร่องรอยขีดฆ่าหรือข้อความใด ๆ ปรากฏขึ้นอีก

ข้อความสุดสะเทือนใจคือข้อความจากวันที่ 15 ก.ย. 2560 ระบุว่า “น่าจะซื้อข้าวติดไว้ ฝันถึง [อาหาร] เอาเถอะ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว” จากนั้นก็มีสูตรอาหารต่าง ๆ ติดไว้ซึ่งดร. เฮนเดอร์สันกล่าวว่า “ดูเหมือนจะมาจากตำราอาหารเพราะมีเลขหน้ากำกับ”

ในกระบวนการพิจารณานี้ ศาลยังได้รับรู้ว่าครอบครัวของวินแฮมไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับเธอได้ หลังจากที่เธอมีปัญหาด้านสุขภาพจิตมานานหลายปี อาการป่วยจากโรคจิตเภททำให้เธอเชื่อว่าคนในครอบครัวจ้องจะทำร้ายเธอ

“นิคกี” น้องสาวของผู้ตายให้การต่อศาลว่าครอบครัวได้เจอหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายในปี  2552 พวกเขาติดต่อกันผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ก็ยุติไปในปี 2557 โดยเธอส่งข้อความผ่านระบบข้อความเฟซบุ๊กไปหาครอบครัว ขอร้องไม่ให้พวกเขาติดต่อมาหาเธออีก เธออ้างว่าทุกอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมของเธอไปแล้วและขอให้พวกเขาอดทน

ครอบครัวเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้ทำผิดที่เคารพความต้องการของเธอและงดการติดต่อไปหาเธอตามคำขอ เพราะรู้ดีว่าการติดต่อกับครอบครัวทำให้สุขภาพจิตของเธอแย่ลง พวกเขาหวังว่าเธอจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมและจะสามารถกลับมาติดต่อกับครอบครัวได้สักวันหนึ่ง

“เราไม่อยากจะเชื่อเลยแม้แต่วินาทีเดียวว่าสุดท้ายแล้ว เราจะพบเธอนอนตายอยู่บนพื้น  โดยที่เธอนอนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานมากโดยไม่มีใครรู้เห็น”

นิคกีเล่าต่อหน้าศาลว่า พี่ชายและแม่ของเธอไปเยี่ยมวินแฮมที่อพาร์ตเมนต์หลังจากที่พวกเขารู้สึกเป็นกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของเธอ แต่เมื่อพวกเขาเคาะประตูแล้วไม่มีเสียงขานรับ พวกเขาก็ตัดสินใจแอบมองลอดช่องส่งจดหมายที่ประตูห้อง

อาคารอพาร์ตเมนต์ที่วินแฮมอาศัยอยู่ระหว่างเสียชีวิต

“พวกเขาตะโกนเรียกชื่อเธอและมองผ่านช่องส่งจดหมาย พี่ชายของฉันเห็นสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นศพที่กำลังเน่าเปื่อยอย่างหนัก” นิคกีเล่า

หลังจากนั้นพวกเขาก็โทรฯแจ้งตำรวจและบุกเข้าไปในห้อง จึงได้พบศพที่แห้งกรังเหมือนมัมมี่ซึ่งแทบจะเหลือแต่โครงกระดูกอยู่ภายในห้อง แม่และพี่ชายของเธอรู้สึกช็อกอย่างที่สุด

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลระบุว่า วินแฮมเคยยื่นคำร้องขอรับสวัสดิการสำหรับผู้พิการในเดือนเม.ย. 2546 ก่อนที่จะถูกระงับในเดือนมี.ค. 2559 

กรมสวัสดิการแรงงานและบำนาญของสหราชอาณาจักรส่งจดหมายถึงวินแฮมในเดือนก.พ. 2559 เพื่อขอให้เธอยื่นคำรองรับเงินช่วยเหลือแบบใหม่เฉพาะบุคคลซึ่งกำลังจะมาแทนเงินช่วยเหลือผู้พิการ นอกจากนี้ยังจดหมายแจ้งว่าวินแฮมอาจต้องไปพบแพทย์ แต่เธอไม่ตอบรับ สวัสดิการของเธอจึงโดนตัดไปในวันที่ 4 มี.ค. 2559 

หลังจากนั้น วินแฮมเขียนจดหมายไปยังเทศบาลเมืองโวคิงเพื่อแจ้งความกังวลของเธอเกี่ยวกับกระบวนการรับเงินสวัสดิการ โดยระบุว่าเธอมีเพียงเงินเก็บและเงินสวัสดิการเท่านั้นที่ใช้ในการเลี้ยงดูตัวเอง เธอไม่ได้ยื่นคำขอต่อหน่วยงานอื่นเพราะไม่สามารถรับมือกับการตรวจสุขภาพที่เข้มงวดของเครือข่ายเหล่านั้นได้

เอียน บาร์เคอร์ ตัวแทนจากกรมสวัสดิการฯ บอกต่อคณะสอบสวนว่าหน่วยงานของรัฐไม่ได้รับทราบถึงความกังวลของวินแฮม แต่ยอมรับว่าหลังจากที่ระงับเงินช่วยเหลือในตอนนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ดำเนินการติดตามใด ๆ ต่อเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นการดำเนินการที่เหมาะสมแล้ว

การสอบสวนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ยังคงดำเนินต่อไป แต่ชีวิตของวินแฮมนั้น สิ้นสุดไปแล้วอย่างน่าสลดใจที่สุด

ที่มา : dailymail.co.uk

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES