สิ้นสุดการรอคอยแล้วหลังล่าสุด วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ได้พาภาพยนตร์ “Joker: Folie À Deux – โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ”  ภาพยนตร์ภาคต่อที่ทุกคนตั้งตารอกับ วาคีน ฟีนิกซ์ ที่กลับมาสวมบทบาทอันน่าทึ่งอีกครั้งในบท “โจ๊กเกอร์” ที่เปลี่ยนโลกภาพยนตร์ไปตลอดกาล พร้อมควงคู่กับนักแสดงระดับโลก เลดี้ กาก้า ในบท “ฮาร์ลีย์ ควินน์” คนรักและคู่หูที่เติมเต็มความบ้าคลั่ง ผลงานจากผู้เขียนบทฯ / ผู้กำกับฯ / ผู้อำนวยการสร้างฯ โดย ทอดด์ ฟิลลิปส์ 

โดย “Joker: Folie À Deux – โจ๊กเกอร์ โฟลีย์ อา เดอ” สานต่อความเข้มข้นจากภาคแรก แต่เพิ่มความซับซ้อนและมิติใหม่ด้วยองค์ประกอบดนตรีและการเต้นเข้ากับความบ้าคลั่งในแบบฉบับของโจ๊กเกอร์ผสมผสานกับการเดินทางสู่ความมืดมนของจิตใจที่เต็มไปด้วยความโกลาหล เผยให้เห็นถึงเคมีที่น่าจับตาระหว่างสองนักแสดงนำ และฉากอันน่าตื่นเต้นที่จะพาผู้ชมลงลึกสู่โลกที่คาดเดาไม่ได้ โดยเป็นเรื่องราวของอาร์เธอร์ เฟล็คถูกขังอยู่ที่ อาร์คัม เพื่อรอการไต่สวนจากเหตุการณ์ก่ออาชญากรรมของเขาในร่างโจ๊กเกอร์ ขณะที่กำลังต่อสู้กับการมีบุคลิกสองด้านของตัวเอง อาร์เธอร์ไม่ได้เสียศูนย์เพราะความรักเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้พบกับเสียงดนตรีที่อยู่ในตัวเขาเสมอมาด้วย

งานนี้ด้วยความปังของเรื่องราวและการรอคอยของแฟนๆ yimyim เลยไม่พลาดนำบทสัมภาษณ์ของ วาคีน ฟีนิกซ์ หนึ่งในนักแสดงนำมาฝากกัน

คุณกับท็อดด์ ฟิลลิปส์ เริ่มคุยกันเรื่องภาคต่อของ Joker มาตั้งแต่เมื่อไหร่?

“ เราคุยกันตั้งแต่เนิ่นๆ เลยครับ ผมว่าตอนนั้นน่าจะถ่ายทำภาคแรกไปได้ครึ่งทาง เราไม่ได้ทำภาคนั้นโดยนึกถึงภาคต่อไปด้วยหรอกนะ แต่ผมว่าโลกในหนังมันสมบูรณ์หลากหลายและตัวละครก็ดูมีความเป็นไปได้มากมายและไปต่อได้อีกหลายทาง เราก็เลยเริ่มคุยกันว่าเรื่องราวน่าจะเป็นยังไงต่อ บางครั้งก็เป็นแค่การพูดแหย่กันเล่นๆ เราชอบนึกไอเดียที่ทำให้เราได้หัวเราะขำกัน แต่บางครั้งเราก็คุยเป็นจริงเป็นจังด้วยเหมือนกัน แต่ผมจำได้ว่าไอเดียหนึ่งที่เราเริ่มต้นคุยกันและน่าจะเป็นหนึ่งในไอเดียที่ดูเข้าเค้ามากที่สุด ก็คือการตั้งคำถามว่าคุณจะทำอะไรเมื่อคุณเบื่อหน่ายการแสดงแล้ว เมื่อคุณเบื่อการเป็นตัวละครที่คุณได้สร้างขึ้นมา เราคุยกันว่าวงดนตรีอย่าง Kiss หรือวงดนตรีที่เน้นการสร้างภาพลักษณ์ให้คนจดจำ หลังจากทัวร์มานานหลายปี พวกเขาก็ยังต้องรักษาภาพลักษณ์แบบเดิมเอาไว้ หรืออย่างออซซี ออสบอร์น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากพวกเขาแค่อยากอยู่บ้านเงียบๆ และไม่อยากรับบทเป็นตัวละครนั้นอีกต่อไปแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคู่รักของพวกเขากลับตกหลุมรักตัวละครนั้นมากกว่าตัวตนจริงๆ และนั่นเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผมจำได้ว่าเคยคุยกับท็อดด์และรู้สึกตื่นเต้นกับไอเดียนี้มาก ช่วงนั้นเราน่าจะถ่ายทำ Joker ไปสักครึ่งทางได้”

คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณได้มาทำงานในภาคนี้ รู้สึกอย่างไรที่ได้นำอาร์เธอร์ไปสู่เรื่องราวบทต่อไป?

“สารพัดอย่างเลยครับ ส่วนหนึ่งผมก็รู้สึกลังเล ประสบการณ์จากการทำภาคแรกเป็นสิ่งที่พิเศษมากจนผมไม่อยากให้มีอะไรมาลดทอนคุณค่าของมัน แต่ผมก็ชอบแนวคิดว่าด้วยความท้าทาย ว่าด้วยการสานต่อเรื่องราวโดยเล่นกับโทนที่ต่างออกไป เราเริ่มคุยเรื่องดนตรีและการแสดงในช่วงที่…ผมไม่แน่ใจว่าหนังภาคแรกเข้าฉายแล้วหรือยัง หรือว่าเพิ่งฉาย แต่เราเริ่มพูดเรื่องการแสดงหรือที่จริงคือการโชว์ เหมือนอย่างการแสดงสดน่ะครับ ผมคิดว่าตัวละครนี้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้สำรวจ ผมไม่อยากที่จะทิ้งมันไปเฉยๆ ผมก็เลยทั้งตื่นเต้นและกังวลด้วย ผมคิดไปทุกอย่างเลยล่ะครับ”

คุณร่วมงานกับท็อดด์เป็นครั้งที่สองแล้ว คุณจะบรรยายถึงการทำงานร่วมกันระหว่างคุณทั้งสองอย่างไร?

“มันเป็นประสบการณ์ที่ช่วยเติมเต็มมากเลยครับ บางครั้งเราแค่อยากได้พูดคุยพบปะกับคนคนนั้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญนะ และเราก็อยากรู้สึกว่าคนคนนั้นคอยท้าทายเรา สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผมมองหาในตัวผู้กำกับก็คือใครสักคนที่ทำตามสัญชาตญาณและนำทางให้ผมได้ถ้าเราอยากลองออกนอกเส้นทางในบางเทคและทดลองสิ่งใหม่ๆ เป็นผู้กำกับที่คิดเร็วและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ และท็อดด์ก็เป็นคนหัวไวที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานด้วยเลย เขาไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง ทุกครั้งที่ผมพูดขึ้นมาว่า “อืม มีประโยคไหนให้ผมพูดที่จะได้อารมณ์ประมาณนี้ไหม” เขาจะกลับมาพร้อมกับบทพูดสามสี่แบบที่ทั้งตลก ลงตัว และยอดเยี่ยม เข้ากับช่วงเวลานั้นได้พอดิบพอดี เรื่องนั้นสำคัญสำหรับผมมากครับ โดยเฉพาะกับหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าตัวละครตัวนี้มีชีวิตชีวามาก ท็อดด์และสก็อตต์ [ซิลเวอร์] ได้เขียนบทที่ยอดเยี่ยม เต็มอิ่ม ชาญฉลาด น่าสนใจ ตลก และอบอุ่นหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น ท็อดด์ยังสามารถค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในช่วงเวลานั้นๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วย มันจึงเป็นการทำงานที่มีชีวิตชีวามาก และเป็นเรื่องยากที่จะได้ร่วมงานกับใครสักคนที่ทำงานได้แบบนี้ครับ”

ในภาคนี้ก็เป็นเพลงประกอบจากฮิลดูร์ กุดนาดอตตีร์ อีกครั้ง ซึ่งเยี่ยมไปเลยใช่ไหม?

“ครับ บางสิ่งที่เราพูดกันก็คือการพยายามหาหนทางเพื่อผสมผสานบทเพลงที่ฮิลดูร์แต่งและบรรเลง เข้ากับบทเพลงที่ร้องอยู่ในฉากนั้นๆ หรือในบางช่วงของการเต้น ตัวอย่างเช่น มีเพลงที่ชื่อว่า “When You’re Smiling”… เราลองใช้หลายเพลงดูเล่นๆ และเราก็ได้พบเพลงนี้ ผมเล่นให้ท็อดด์ฟังและเขาก็ชอบ เราคุยกันว่า “เอาล่ะ ลองเอามันมาใช้ในฉากนี้ดู เราจะลองใช้เพลงนี้สักสองสามเทคแล้วลองบางเทคแบบไม่มีเพลง” จากนั้นเราก็นำดนตรีประกอบของฮิลดูร์มาซ้อนลงไป มันกลายเป็นการปะทะกันที่น่าสนใจมากระหว่างดนตรีสองสไตล์ที่แตกต่างกัน ซึ่งผมคิดว่าช่วยสะท้อนภาวะทางจิตใจของอาร์เธอร์และโจ๊กเกอร์ได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น ดนตรีของฮิลดูร์จึงมีส่วนสำคัญมากในหนังภาคแรก และผมก็ยินดีมากที่เธอมาสร้างผลงานที่โดดเด่นในภาคนี้ด้วย”

คุณได้เต้นในภาคนี้ รวมถึงการเต้นแท็ปด้วย คุณสนุกกับการเตรียมตัวและฝึกซ้อมในฉากเหล่านั้นร่วมกับผู้ออกแบบท่าเต้น ไมเคิล อาร์โนลด์ มากน้อยเพียงใด?

“ก็ตลกดีนะ มันเป็นสิ่งหนึ่งซึ่ง… ผมคุยถึงเรื่องการเต้นแท็ปในหนังภาคแรกเพราะมีช่วงหนึ่งในภาคแรกที่ผมไปออกรายการ “เดอะ เมอร์เรย์ แฟรงคลิน โชว์” และผมทำท่าหมุนตัวซึ่งผมว่าคล้ายท่าเต้นแท็ปซึ่งไมเคิล อาร์โนลด์ก็สังเกตเห็นเรื่องนี้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไป เราก็เลยคุยกันว่า “อ้อ ถ้าเราทำหนังอีกภาค ก็น่าจะใส่การเต้นแท็ปลงไปด้วยนะ” เพราะว่ามันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมน่าจะทำได้ แต่มันยากมากเลยครับ ผมต้องขยับเท้าในแบบที่ไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย ยิ่งสำหรับคนอายุ 40 ปลายๆ ถึงผมดูเหมือนพูดประชดและไม่สนุกไปกับการเต้น แต่จริงๆ มันสนุกนะ ผมว่ามันท้าทายมากเลยล่ะ สำหรับการทำงานกับไมเคิล ผมเคารพเขาในฐานะนักเต้นและผู้ออกแบบท่าเต้น และเขาก็เข้าใจตัวละครเป็นอย่างดี ในกรณีนี้เขาต้องทำงานกับตัวละครหลายๆ ตัวด้วย และผมก็ตื่นเต้นที่ได้กลับไปเต้นกับเขาและค้นพบสิ่งใหม่ๆ เราทำงานเรื่องการเต้นแท็ปอยู่นานทีเดียว ซึ่งบ้าบอมากเพราะเอาเข้าจริงๆ ผมเต้นสัก 30 วินาทีได้มั้งในหนัง ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราทำงานกันอยู่นานขนาดไหน แต่มันนานมากๆ เลย แค่เต้นสเต็ปง่ายๆ ให้ได้ก็ใช้เวลานานแล้ว อย่างน้อยสำหรับผมน่ะนะ มันสนุกที่ได้ท้าทายตัวเองและลองทำอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ แต่ก็ยากที่จะอธิบายให้คนอื่นฟัง เพราะเวลาคนเห็นท่าเต้นที่เรียบง่ายหรือการเต้นแท็ปแบบเรียบง่าย พวกเขาก็จะบอกว่า “ว้าว เจ๋งมากเลย มันดูเหมือนง่ายเลยเนอะ” แล้วเราก็ตอบกลับไปว่า “คุณรู้บ้างไหมว่ามันโหดหินขนาดไหน” [หัวเราะ]”

มาพูดถึงนักแสดงร่วมในหนังเรื่องนี้กันไหม ลีห์ กิลล์ กลับมารับบทเป็นแกรี พัดเดิลส์ เป็นอย่างไร?

“ลีห์เก่งมากครับ ลีห์เป็นคนที่ผมกับท็อดด์คุยกันมาตั้งแต่เนิ่นๆ ตอนที่เราเริ่มพูดถึงแนวคิดต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งในประเด็นทำนองที่ว่า “คงน่าสนุกดีนะถ้าเราได้เห็น…” และเมื่อไอเดียเริ่มเป็นจริงเป็นจังขึ้น ลีห์ก็เป็นคนที่เราอยากให้กลับมาในภาคนี้ เขาสร้างความประทับใจเอาไว้ในภาคแรก และผมจำฉากแรกที่เล่นกับเขาได้ มันเป็นฉากร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ อีกหกคนและเขาก็โดดเด่นออกมาเลย เขาถ่ายทอดบทพูดออกมาได้อย่างจริงใจ ผมอยากทำงานกับเขาอีกครั้งมาตลอดครับ อยากให้เขาได้เล่นในหลายฉากมากกว่านี้ ใน Joker เราพยายามหาฉากอื่นๆ ให้เขาเพราะเขาเล่นดีมาก ผมก็เลยตื่นเต้นมากที่ได้เขากลับมาและได้อยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญมากในภาคนี้ด้วย”

แล้วยังมีนักแสดงชาวไอริชฝีมือเยี่ยมอย่างเบรนแดน กลีสัน ซึ่งมารับบทเป็นแจ็คกี ซัลลิแวน ผู้คุมของคุณที่อาร์คัมด้วย เป็นยังไงบ้าง?

“เขาเป็นนักแสดงอีกคนที่ผมชื่นชมครับ ผมเคยทำงานกับเขา จำไม่ได้เหมือนกันว่าเราได้เล่นด้วยกันมากแค่ไหน แต่ก็หลายปีมาแล้ว เลยรู้สึกดีใจที่ได้พบเขาอีกครั้ง ผมจำได้ว่าในหนังเรื่อง The Village ตอนนั้นผมคิดว่าเขาเป็นนักแสดงที่เก่งเลยแหละ”

ท็อดด์ชอบนักแสดงตลกหรือนักแสดงที่เก่งด้านงานคอเมดี้ เขามีแนวทางการเลือกนักแสดงที่น่าสนใจเพราะมักจะเป็นตัวเลือกที่ไม่มีใครคาดคิด รู้สึกอย่างไรบ้าง?

“เรื่องสตีฟ คูแกนก็ตลกดีครับ เพราะตอนนั้นผมกับท็อดด์คุยกันเรื่องนักแสดงคนโน้นคนนี้ และเพราะอะไรไม่รู้ จู่ๆ สตีฟก็ผุดขึ้นมาในหัวผม ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรนอกจากว่าผมชอบเขามาตลอด แล้วผมก็พูดว่า “แล้วสตีฟล่ะ” ท็อดด์ก็บอกว่า “เอ้อ สก็อตต์ ซิลเวอร์ ชอบสตีฟมากๆ และคิดว่าสตีฟน่าจะมารับบทนี้เหมือนกัน ผมเองก็นึกถึงเขามาตลอดและพูดถึงเขาอยู่เหมือนกัน” ดูเหมือนว่าจู่ๆ ทุกคนก็ใจตรงกันว่าเขาดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและน่าจะเหมาะกับบทนี้ จากนั้นสตีฟก็มา นั่งเครื่องบินมาจากอังกฤษเลยแล้วก็เริ่มถ่ายทำในวันถัดมา เขาทดสอบหน้ากล้องในคืนที่เขามาถึงแล้ววันถัดมาก็ถ่ายเลย และเขาแสดงได้ไม่มีสะดุดเลยสักนิด เขามีวิธีการพูดที่น่าทึ่ง ละเอียดอ่อน และยอดเยี่ยม แล้วเราทุกคนต่างก็ทึ่งในตัวเขา ตอนนั้นผมอยากนั่งเอนหลังดูเขามากกว่าอยู่ในฉากเสียอีก เพราะผมว่าการแสดงของเขามันเยี่ยมมาก ดีใจมากเลยครับที่ได้ทำงานกับเขา”

คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้หนังทั้งสองภาคนี้ตรงใจผู้ชม?

“(หัวเราะ)อันที่จริงเราอย่าเพิ่งด่วนสรุปไปก่อนจะดีกว่านะครับ”

สุดท้ายนี้สิ่งไหนที่คุณประทับใจมากที่สุดเกี่ยวกับเลดี้กาก้า?

“เยอะแยะมากมายเลย แต่ผมจะบอกว่าผมประทับใจกับความทุ่มเท การทำงานหนัก และความเข้าถึงได้ในแบบที่เธอเป็น บางทีส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมคิดไปเองว่าซูเปอร์สตาร์จะต้องเป็นยังไง เพราะเธอเป็นซูเปอร์สตาร์ตัวแม่ชัดๆ แต่ผมก็ได้เห็นความทุ่มเทเต็มที่แม้กระทั่งเมื่อเทียบกับนักแสดงหลายคนที่ไม่ได้เป็นดาราหรือไม่ได้ซูเปอร์สตาร์ด้วยซ้ำ เธอมาถึงกองถ่ายแต่เช้าและอยู่ในกองถ่ายตลอด เธอมักจะไปอยู่ในห้องเก็บของเล็กๆ ที่มีเก้าอี้วางไว้ อ่านบทอยู่หรือไม่ก็ใช้เวลาพูดคุยทุกๆ เรื่องเกี่ยวกับฉากต่างๆ ผมคิดว่าผมกับท็อดด์ชอบการใช้เวลาให้เต็มที่กับการทดลองสิ่งใหม่ๆ และสิ่งที่แตกต่างออกไป และใช่ว่าทุกคนจะทำแบบนั้นได้หรืออยากทำแบบนั้น แต่ผมก็ต้องทึ่งเมื่อได้เห็นว่าเธอยืดหยุ่นขนาดไหน เธอพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนจากมุมมองที่คิดเอาไว้ว่าฉากนั้นน่าจะเป็นยังไงเพื่อทดลองสิ่งใหม่ๆ ได้เสมอ เรื่องนี้สุดยอดเลยสำหรับผม นักแสดงแบบนี้แหละที่ผมอยากทำงานด้วย และเธอก็ไม่เคยยอมแพ้ ไม่ว่าท็อดด์อยากลองแบบไหน เธอจะบอกว่า “โอเค ได้เลย” จากนั้นเธอก็จะลองทำสิ่งใหม่ๆ มีช่วงหนึ่งที่ให้ความรู้สึกสมจริงมากๆ ผมจำได้ว่าช่วงแรกที่ถ่ายฉากนั้น เราจะถ่ายช็อตโคลสอัพของผมก่อน จากนั้นค่อยหันกล้องไปทางเธอ แล้วเธอก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีและจริงใจมากๆ จนผมต้องบอกว่า “ท็อดด์ ถ่ายช็อตของผมใหม่เถอะเพราะผมรู้แล้วว่าควรจะเล่นยังไง” เธอน่าประทับใจมากครับ ยังไงก็ฝากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยนะครับ”


คอลัมน์ “1 Day With ซุปตาร์”

โดย yimyim